Tag Archives: การใช้ชีวิต

มองลึก นึกไกล ใจกว้าง เขียนโดย ว. วชิรเมธี

หนังสือเล่มนี้ถือเป็นหนังสือที่เปิดมุมมองของธรรมะอีกรูปแบบหนึ่ง โดยผู้เขียน ว. วชิรเมธี เป็นนามปากกาของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ซึ่งในเล่มนี้ท่านได้พูดถึง หลักการใหญ่ ๆ คือการมองลึก นึกไกล ใจกว้าง ตามชื่อหนังสือ ได้ให้แง่คิดทางธรรมะที่เท่าทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน มีการนำประสบการณ์ส่วนตัวมาเล่าประกอบเพื่อสะท้อนแง่คิดต่าง ๆ และยังมีการนำเรื่องเล่าสมัยอดีตมายกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น หากใครที่ไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะมาก่อน หนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะนอกจากผู้เขียนจะอธิบายเรื่องหลักธรรมให้เข้าใจได้ง่ายแล้ว ยังมีภาพประกอบระหว่างบทให้รู้สึกเพลิดเพลินกับธรรมะมากยิ่งขึ้นด้วย

การมองลึก คือการที่เราไม่ตัดสินใครหรือสิ่งใดเพียงผิวเผินหรือฉาบฉวย เพราะบางครั้งสิ่งที่เราเห็นอาจจะเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของความจริงทั้งหมดก็ได้ คนส่วนใหญ่รีบด่วนตัดสินต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยไม่ตรวจสอบที่มาที่ไป เหตุและผลให้ดีเสียก่อน จึงไม่แปลกเลยที่ทุกวันนี้เราจะเห็นการเผยแพร่ข่าวที่บิดเบือน หรือข่าวที่ไม่เป็นความจริงเต็มไปหมด แล้วคนก็หลงเชื่อโดยง่ายไม่ศึกษาให้ดีก่อน ยิ่งเห็นได้ชัดในโลกโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ลูกโซ่การรักษาโลกแบบผิด ๆ สุดท้ายเกิดผลเสียต่อทั้งตนเองและต่อผู้อื่น การมองลึกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนพึงมี

การนึกไกล คือการนึกถึงผู้อื่นเสมอ ไม่ใช่การนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเอง การแสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง คิดแค่ว่าตนเองจะได้อะไร แต่ไม่ได้คิดว่าที่มาของผลประโยชน์ของเราไปเบียดเบียนคนอื่นหรือเปล่า หรือเรียกง่าย ๆ ว่าการเห็นแก่ตัว หากสังคมในปัจจุบันมีแต่คนนึกถึงแต่ตนเอง สังคมคงวุ่นวายน่าดู หากคนคำนึงแต่สิทธิตนเอง ไม่เคารพสิทธิของคนอื่น สังคมนั้นจะถือเป็นสังคมที่เจริญได้อย่างไร

ใจกว้าง คือความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่แบ่งเชื้อชาติศาสนา ไม่เหยียดสีเหยียดเพศ จะเห็นได้ว่าสังคมโลกปัจจุบัน ผู้คนต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เหยียดทุกความต่างของผู้อื่น ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย การทำร้ายร่างกาย การเข่นฆ่ากัน ทั้ง ๆ ที่ทุกคนก็เป็นมนุษย์เฉกเช่นเดียวกัน หากเรามีความใจกว้าง ปราศจากอคติในใจ เราจะสามารถอยู่ร่วมโลกกันได้อย่างมีความสุข

ทั้ง 3 อย่างนี้ หากมนุษย์ทุกคนมีอยู่ในใจโลกของเราคงสงบสุขมากยิ่งขึ้น แม้ตอนนี้มันจะยังไม่ใกล้เคียงเท่าไหร่ แต่ว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนหลายกลุ่มที่พยายามรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ อาจจะเป็นก้าวเล็ก ๆ แต่ถ้าเราทำอยู่เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ สุดท้ายผลดีก็จะตกอยู่ที่ตัวเราเอง จิตใจของเราก็จะสงบและมีความสุข ธรรมะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ หากคุณเปิดใจสักนิดจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วธรรมะไม่ใช่เรื่องไกลตัวและธรรมะแฝงอยู่ในทุกรูปแบบของการใช้ชีวิต หากคุณลองอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว การมองลึก นึกไกล ใจกว้าง จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยที่ดีแห่งหนึ่งของโลก สอนวิธีคิด เล่มที่ 1 “วิชาที่ไม่มีในตำรา”

หากพูดถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังที่หลาย ๆ คนเคยได้ยิน 1 ในนั้นต้องมีชื่อ ฮาร์วาร์ด อย่างแน่นอน มหาวิทยาลัยในฝันของหลาย ๆ คน แต่ว่าก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะได้เข้าไปที่นั่น นอกจากมีความสามารถแล้ว ยังต้องมีลักษณะโดดเด่น เพื่อจะได้พัฒนาไปสู่คนที่ประสบความสำเร็จในอนาคต แต่ว่าการจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในแบบฉบับของฮาร์วาร์ดนั้นเป็นอย่างไร ชาวฮาร์วาร์ดมีวิธีคิดอย่างไร หนังสือเล่มนี้ได้ตอบคำถามคุณแล้ว

                เหวย์ ซิ่วอิง นักเขียนชื่อดังชาวจีน ได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่มุ่งเน้นให้คนรู้จักพัฒนาตนเอง ในรูปแบบความคิดที่นอกกรอบ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนหรือด้านการทำงาน ซึ่งนอกจากความเก่งแล้ว สิ่งสำคัญที่จะทำให้เราแตกต่างและโดดเด่นจากผู้อื่นได้ ต้องผ่านการเรียนรู้ที่มาจากประสบการณ์ในชีวิตจริง โดยได้รวบรวมทั้งความคิด บทสุนทรพจน์ของอาจารย์และศิษย์เก่าของฮาร์วาร์ดเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ล้วนมาจากประสบการณ์ทั้งนั้น แต่ละคนมีความคิดที่น่าทึ่ง นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้นำเสนอออกมาในรูปแบบของเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่สะท้อนเรื่องราวต่าง ๆ ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และที่เป็นสีสันของเล่มนี้คือ ในแต่ละบทจะมี “ฮาร์วาร์ดทดสอบคุณ” จะเป็นเกมทางจิตวิทยาง่าย ๆ ที่ให้ผู้อ่านได้ขบคิดกัน

                การจะประสบความสำเร็จได้นั้น ฮาร์วาร์ดให้แง่คิดไว้ว่า จุดเริ่มต้นคือ เราต้องกำหนดเป้าหมายของชีวิตให้ชัดเจน เมื่อเรามองเห็นเป้าหมายแล้ว เราจึงจะสามารถรู้ได้ว่าเส้นทางต่อไปที่เราจะเลือกเดินเราจะเดินไปทางไหน ความขยันหมั่นเพียรความกระตือรือร้นก็เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากมีเป้าหมายแล้วเราควรทำอย่างสม่ำเสมอ และถ้าเราสามารถพึ่งตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใครแล้ว เราก็จะสามารถสร้างความโดดเด่นให้ตัวเองได้ดีทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่เราจะสามารถประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องผ่านบททดสอบชีวิติมากมาย สิ่งสำคัญคืออย่าถอดใจไปเสียก่อน มีความหวังอยู่เสมอ เท่านี้ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว หนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนทางหนึ่งที่น่าสนใจในการเรียนรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ คนที่ไม่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักจะมองข้ามไป หลายคนต้องการเห็นผลที่ชัดเจน ทันตา และรวดเร็ว พอไม่ได้ดั่งใจก็ท้อล้มเลิก แต่ฮาร์วาร์ดได้บอกไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่แล้ว

                หนทางในการนำไปสู่ความสำเร็จมีมากมาย บางคนลองทำแบบนี้แล้วได้ผล แต่บางคนทำแบบนี้แล้วกลับไม่ได้อะไรเลย เพราะความสำเร็จมันไม่มีสูตรที่ตายตัว ไม่สามารถจะรับประกันผลได้ 100 เปอร์เซ็นต์ คนที่มีเป้าหมายเดียวกัน เดินไปบนทางเดียวกันใช่ว่าจะเจอปลายทางเดียวกัน เพราะฉะนั้นแล้วเราควรนำประสบการณ์ของคนอื่นมาปรับให้เข้ากับชีวิตของเราให้เหมาะสม หาหนทางความสำเร็จที่เป็นสูตรของเราให้เจอ และแน่นอนความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

สองปีกของความฝัน เขียนโดย วินทร์ เลียววาริณ

เราทุกคนมีความฝัน แต่การที่จะไล่ตามความฝันนั้นไม่ใช่ใครทุกคนที่จะประสบความสำเร็จ บางคนก็อาจจะหลงทางไปก่อนที่จะถึงฝัน หรือบางคนหมดเรี่ยวแรงก่อนที่จะได้ทำตามฝัน หนังสือเล่มนี้จะช่วยสะท้อนแง่มุมต่าง ๆ ของการตามล่าหาความฝันของคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หรือฝันว่าอะไร คุณสามารถทำให้ฝันของคุณเป็นจริงได้

                วินทร์ เลียววาริณ เจ้าของรางวัลซีไรต์ 2 สมัย ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้เขียนเรื่องราวการต่อสู้ตามความฝันในหลาย ๆ รูปแบบ โดยแต่ละบทของหนังสือนั้น จะเป็นการเล่าเรื่องราวการต่อสู้ความฝันทั้งจาก นิยาย วรรณกรรม ภาพยนตร์ และเรื่องจริง ที่จะช่วยให้แง่คิดและเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี และยังมีคำคมดี ๆ แทรกอยู่ในแต่ละบทพร้อมกับภาพประกอบในแต่ละบทที่ช่วยให้เห็นภาพที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อสารชัดเจนยิ่งขึ้น

                ความฝัน ใครก็ฝันได้ แต่จะมีสักกี่คนที่พยายามและตั้งใจทำให้มันสำเร็จ หลายคนท้อตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ คอยแต่ดูถูกตัวเองว่าทำไม่ได้ ถ้าเราไม่พยายามมากพอก็ไม่เป็นผลสำเร็จ แต่ว่าการพยายามของเราก็ต้องพยายามแบบถูกที่ถูกทาง หากเราพยายามในหนทางที่ผิดความพยายามจะกลายเป็นดันทุรังและเหนื่อยเปล่าแน่ ๆ สิ่งสำคัญของการตามล่าหาความฝันคือ เราต้องรู้ตัวเองว่าจริง ๆ แล้วเราต้องการอะไร และการจะไปถึงฝันนั้นเรายังขาดอะไรบ้าง จุดอ่อนของเราคืออะไร และจุดแข็งของเราคืออะไร ต้องมองปัญหาที่มีให้ออก เพิ่มมิติของการมองให้กว้างมากขึ้น เราก็จะสามารถมองเห็นหนทางในการแก้ปัญหาใหม่ ๆ เพื่อเดินทางตามความฝันของเรา

                ซึ่งผู้เขียนได้อธิบายมิติของการมองมาจากนิทานจีนเรื่องหนึ่ง เป็นการสอนให้มองปัญหาแบบ กว้าง x ยาว x ลึก ไม่จำกัดกรอบความคิด เราสามารถที่จะฝันอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องฝันตามค่านิยม ประเพณี วัฒนธรรม อีกทั้งยังมีการเปรียบเทียบความฝันกับ ปีก ซึ่งสัตว์ปีกแต่ละชนิดก็จะมีลักษณะปีกที่แตกต่างกัน นั่นหมายถึงต้นทุนความฝันของแต่ละคน ซึ่งเราจะบินพาความฝันไปได้ไกลแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการออกแบบปีกของเราเอง และนี่ก็เป็นที่มาของชื่อหนังสือ “สองปีกของความฝัน” นั่นเอง

                สุดท้าย เราทุกคนมีสิทธิ์ฝัน ความฝันไม่เคยจำกัดสิทธิ์ใคร ไม่เกี่ยงอายุ หน้าตา หรือฐานะ ต่อให้จะมีคนไม่เชื่อในสิ่งที่คุณฝัน หันหลังให้คุณ แต่ขอให้คุณเชื่อมั่นใจตัวเอง อย่าหวั่นไหวกับคำพูดของคนอื่นที่บั่นทอนความฝันของเรา และพิสูจน์ให้ผู้คนเห็นว่าคุณสามารถยืนหยัดทำฝันของคุณได้ มันอาจจะใช้เวลา 1 ปี 5 ปี 10 ปี หรือตลอดชีวิตก็ไม่มีใครรู้ แต่ถ้าหากคุณทำมันสำเร็จ มันก็คุ้มค่าไม่ใช่หรือ กับการที่ลงทุนฟันฝ่าจนทำสำเร็จได้ ขอเพียงแค่คุณไม่หยุดฝันเท่านั้นเอง

จริง ๆ แล้วเจ้านายต้องการอะไรจากเรา เขียนโดย ฮิเดฮิโกะ ฮามาดะ

หนุ่มสาววัยทำงานที่กำลังมองหาคู่มือหรือหนังสือที่จะทำให้คุณเข้าใจการทำงานมากยิ่งขึ้นและสามารถเรียนรู้สังคมการทำงานอย่างรวดเร็วแล้วล่ะก็ หรือแม้แต่คนที่ทำงานมานานแล้ว ย้ายงานมาหลายที่ แต่ยังรู้สึกว่าทำไมเรายังทำงานเข้ากับที่ทำงานไม่ได้สักที หรือคนที่มีปัญหากับหัวบ่อย ๆ หนังสือเล่มนี้สามารถช่วยคุณได้ เมื่ออ่านแล้วคุณจะเข้าใจเจ้านายของคุณว่าเขาต้องการอะไร และจะจัดการปัญหาที่เกิดได้อย่างไร หรือแม้แต่เจ้านายเองก็สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ เพื่อเข้าใจลูกน้องมากขึ้น สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน

                ฮิเดฮิโกะ ฮามาดะ ผู้เขียน เป็นวิทยากรในการอบรม ผู้จัดการ หัวหน้า หรือผู้อำนวยการระดับต่าง ๆ ได้มองเห็นปัญหาทางด้านความสัมพันธ์ของหัวหน้าและลูกน้องอยู่เสมอ ร้อยละ 97 เปอร์เซ็นต์ของลูกน้องไม่เข้าใจความต้องการของหัวหน้า ซึ่งผลเสียตามมาอีกหลายเรื่อง ผู้เขียนจึงได้สรุปความต้องการของหัวหน้าที่ส่วนใหญ่มักจะแสดงออกหรือบอกลูกน้องตรง ๆ มาในหนังสือเล่มนี้

ในปัจจุบัน ปัญหาการทำงานในองค์กรต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น หลัก ๆ มาจากการไม่ยอมสื่อสารหรือพูดคุยกัน จนบางครั้งเกิดความไม่เข้าใจนี้นำไปสู่ผลงานที่ออกมา กระทบถึงการคงอยู่ของบริษัทเลยก็มี ทั้ง ๆ ที่ปัญหาส่วนใหญ่มักจะเป็นปัญหาเล็ก ๆ แต่เกิดจนสะสม ยาวนาน ถูกละเลย จนวันหนึ่งมันทวีคูณไปจนถึงจุดแตกหัก เราจึงมักเห็นผู้คนวัยทำงานโพสระบายปัญหาเหล่านี้อยู่เป็นเนื่อง ๆ ไม่ว่าจะในบล็อกยอดนิยมอย่างพันทิปหรือแม้กระทั่งบนพื้นที่โซเชียลของตนเอง เป็นปัญหาไม่จบไม่สิ้น เพราะไม่เคยมีใครมาทำความเข้าใจ หรือมีการศึกษาว่าแท้จริงแล้ว การทำงานนั้นต้องมีขั้นตอนหรือการแสดงออกที่ถูกต้องอย่างไร

ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้แตกประเด็นออกมาให้อ่านเข้าใจง่าย และพูดถึงประเด็นหลัก ๆ อยู่ 4 ประเด็นคือ การสื่อสาร การวางตัว การดำเนินงาน และการพัฒนาความสามารถ ซึ่งแต่ละประเด็นได้แตกย่อยไปอีก ไม่ได้มีแค่การทำความเข้าใจกันของหัวหน้าและลูกน้องเท่านั้น แต่ยังมีการรู้จักตั้งรับบททดสอบต่าง ๆ มากมายในที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นกับเจ้านายเอง หรือเพื่อนร่วมงาน หรือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การจัดโต๊ะทำงาน ก็สามารถส่งผลต่อทัศนคติของหัวหน้าที่มีต่อคุณ และแต่ละบทก็จะมีบทสรุปของบท ๆ นั้นเป็นข้อความสั้น ๆ รัดกุมให้เข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

การทำงานนอกจากเราจะต้องทำความเข้าใจกับงานแล้ว สิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการทำงานกับผู้คน ไม่มีงานไหนที่เราจะหลีกเลี่ยงที่จะทำกับผู้คนได้ ซึ่งเป็นการทำงานที่ยากที่สุด จึงมีคำพูดที่ว่า “เหนื่อยจากงานไม่เท่าเหนื่อยจากคน” แต่ทว่า หากเราสามารถทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้ได้ นอกจากคุณจะมีความสุขในการทำงานมากยิ่งขึ้น ก็ยังส่งผลต่อองค์กรของคุณเอง หากภายในองค์กรทั้งลูกน้องและเจ้านายมีความสัมพันธ์ที่ดี มีเป้าหมายและทิศทางความคิดไปในทางเดียวกัน ก็จะช่วยทำให้การทำงานราบรื่นและประสบความสำเร็จ

อิคิไก ความหมายของการมีชีวิตอยู่ เขียนโดย Ken Mogi แปลโดย วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ

ในโลกปัจจุบันที่ชีวิตการทำงานแสนน่าเบื่อ ปัญหาการจราจรที่แสนจะติดขัด ใน 1 วันที่กว่าคุณจะตื่นขึ้นมาได้นั้น ต้องผ่านการกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกไปกี่รอบ อาหารเช้าที่ว่าจำเป็นและสำคัญถูกตัดทิ้งไปด้วยความรีบร้อน การออกกำลังกายที่คุณเคยวางแผนไว้กลับล่มไม่เป็นท่าเมื่อคุณต้องเลิกงานดึก กว่าจะเช็คข้อมูลบนโซเชียลเวลาก็ล่วงเลยไปเที่ยงคืนแล้ว ชีวิตต้องวนลูปแบบนี้ไปทุกวัน รอวันสิ้นเดือนที่จะนำเงินมาใช้จ่ายก้อนใหญ่ หลายคนถามตัวเองว่า เราต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ แล้วเมื่อไหร่คุณจะมีความสุขเสียที หนังสือเล่มนี้มีคำตอบให้คุณ

                อิคิไก เขียนโดยอาจารย์ เคน โมงิ  นักวิทยาศาสตร์ด้านสมองชื่อดังของญี่ปุ่น ที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านวิถีชีวิต วัฒนธรรม การดำรงชีวิตของคนญี่ปุ่น อิคิไก หมายถึงความสุขและการดำเนินชีวิต ประกอบด้วยคำญี่ปุ่น 2 คำ คือ อิคิ แปลว่า มีชีวิต และ ไก แปลว่า เหตุผล ผู้เขียนได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่มีกลิ่นอายของญี่ปุ่นได้อย่างเข้มข้นและละเอียดถี่ถ้วน นอกจากนี้จะได้เห็นมุมมองของคนญี่ปุ่นที่มีความพิถีพิถันและให้ความสำคัญต่อสิ่งเล็ก ๆ เสมอ และจะได้เห็นว่าแต่ละอาชีพล้วนมีศาสตร์และศิลป์ที่จะต้องเรียนรู้เช่นกัน

                ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างผู้คนหลากหลายอาชีพที่มี อิคิไกในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของร้านซูชิ ที่มีความสุขกับการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ กรรมวิถีต่างๆที่จะทำให้เขาสามารถได้วัตถุดิบที่สดใหม่ตลอดเวลา หรือพ่อค้าขายปลาทูน่าที่ตื่นแต่เช้าเพื่อไปยังตลาดปลาค้นหาปลาที่สดใหม่อยู่เสมอซึ่งหายากมาก และถ้ารอเวลาเขาอาจจะพลาดปลาทูน่าที่ดีที่สุดไป ทำให้เขามีความกระตือรือร้นที่จะตื่นเช้า นี่ก็เป็นอิคิไกอีกรูปแบบหนึ่ง

                อิคิไกจะให้ความสำคัญกับการตื่นเช้า การไม่มองข้ามสิ่งเล็กน้อย และการรู้จักพัฒนาตนเองอยู่เสมอ การมีความสุขกับเรื่องธรรมดา ๆ มองเห็นคุณค่าในอาชีพ และสิ่งที่ตนเองมี ผู้เขียนยังได้ยกผลการเก็บสถิติผู้ที่ยึดหลักการอิคิไก กับผู้ที่ไม่ได้มีอิคิไกว่า ผู้ที่มีอิคิไกนั้น มีค่าเฉลี่ยอายุที่ยืนยาวกว่า มีความสุขในชีวิตมากกว่า และยังได้มีการเปรียบโอกาสในการเกิดโรคต่างๆ อีกด้วย

                สุดท้าย หัวใจหลักของ อิคิไก นั้น คือการที่เรารู้จักมองเห็นคุณค่าของตัวเราเอง การยอมรับตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง ใส่ใจสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัว คนที่จะมีอิคิไกได้ ไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จที่สุด รวยที่สุด หรือเก่งที่สุด อิคิไกไม่มีข้อกำจัดหรือขอบเขต เราทุกคนสามารถมีอิคิไกได้ ไม่ต้องทำสิ่งยิ่งใหญ่ แค่คุณมีสิ่งเล็ก ๆ ภายในใจ ที่ทำให้คุณกระตือรือร้นที่ใช้ชีวิต และมีความสุข เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หากคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้ การตื่นเช้าของคุณคงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะแค่ตื่นเช้าชีวิตของคุณก็จะได้มีพลังและมีเวลาในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆอีกมากมาย หาอิคิไกของคุณจากหนังสือเล่มนี้ดู บางทีมันอาจจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมก็ได้

ขุนเขาเกาสมอง เขียนโดย ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร

ถ้าหากคุณเป็นแฟนตัวยงของหนังสือสร้างแรงบันดาลใจ การพัฒนาชีวิต และหนังสือทางด้านจิตวิทยาแล้วล่ะก็ น่าจะเคยได้ยินชื่อของ ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร มาบ้าง แม้กระทั่งตามร้านหนังสือชั้นนำ หนังสือของเขาก็ยังคงได้ Best Seller อยู่บ่อยครั้งเลยทีเดียว และเล่มนี้ก็เช่นกัน แต่ถ้าหากคุณไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน หนังสือเล่มนี้ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะได้ทำความรู้จักกับผู้ชายคนนี้ ที่นำเสมอเรื่องราวอันซับซ้อนของสมองของคนเรา สอดแทรกไปกับหลักจิตวิทยา วิทยาศาสตร์และหลักทางพุทธศาสนาได้อย่างกลมกล่อมและกลมกลืน

                เราทุกคนรู้จัก “สมอง” แน่ล่ะ สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญมาก ๆ ของมนุษย์ สมองทำให้เรามีพัฒนาการมากกว่าสัตว์อื่น มีความรู้สึกนึกคิด มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ สามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ และยังทำให้คิดประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ ที่เปลี่ยนโลกได้เลยทีเดียว แต่น่าแปลกไหมล่ะ ในเมื่อสมองมีความสำคัญและดูยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่เคยเข้าใจมัน และน้อยคนนักที่จะมานั่งทำความรู้จักกับสมองจริง ๆ หนังสือเล่มนี้นี่เอง ที่จะไขข้อสงสัยหรือทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่คุณมองข้ามมันไป คุณจะรู้ว่าสมองของเรามีผลต่อชีวิตมากแค่ไหน และจริง ๆ แล้วความสุขที่ทุกคนตามหามันอยู่ไม่ไกลเลย

“ความสุขอยู่ที่สมองของคุณ”

                คนเรามักจะเอาความสุขไปผูกติดไว้กับสิ่งของหรือความสัมพันธ์ และมักจะคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เรามีความสุข แต่เคยสงสัยไหมว่า สิ่งของบางอย่าง หรือความสัมพันธ์ในหลายรูปแบบ เมื่อได้มาแล้วกลับไม่มีความสุขแบบที่คิดไว้ หรือบางคนซื้อหวยทุกเดือนและเฝ้าบอกตัวเองว่าถ้าถูกหวยรางวัลที่ 1 เขาคงจะได้มีความสุขเสียที แต่ว่าเราต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ ใช้เวลานานแค่ไหน จริง ๆ แล้วไม่ต้องรอให้ถูกหวยรางวัลที่ 1 เราก็มีความสุขได้ เพียงแค่เราเข้าใจสมองและกลไกทางความรู้สึกของเราให้ดีเท่านั้น

ความสุขทั้งหมดสมองของคนเราเป็นคนปรุงแต่งและสร้างมันขึ้นมาเอง เราสร้างเงื่อนไขให้กับความสุข ตามสิ่งแวดล้อม ค่านิยม ธรรมเนียมปฏิบัติ วัฒนธรรม และยังคงยึดติดกับสิ่งที่เราคิดว่ามันจะทำให้เรามีความสุข และเมื่อยึดติดมาก ๆ สุดท้ายมันกลายเป็นความทุกข์แทน ทุกข์มากขึ้นเมื่อผู้คนไม่ยอมรับไม่ยอมทำความเข้าใจกับความทุกข์นั้น หนังสือเล่มนี้จะชี้ให้เห็นว่า ความทุกข์เป็นเรื่องปกติที่ติดตัวมนุษย์ทุกคน ไม่มีมนุษย์คนไหนไม่ทุกข์ เพียงแค่เรารู้เท่าทันอารมณ์ รู้เท่าทันสมองของเราและจัดการมันอย่างถูกวิธี ก็จะช่วยให้ทุกข์นั้นสั้นลงและมีความสุขได้ง่ายและยาวนานขึ้น

ซึ่งทั้งหมดนี้ผู้เขียนได้อธิบายส่วนประกอบของสมองทางด้านความรู้สึกไว้อย่างชัดเจน และยังนำมาเปรียบเปรยกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาไว้ด้วย เรียกได้ว่า ใช้ทั้งหลักวิทยาศาสตร์และหลักความเชื่อผสมผสานกันอย่างดี ภายในหนังสือจะมีการทดสอบทางจิตวิทยาเล็ก ๆ ขั้นระหว่างบททุกบท เพิ่มความน่าสนใจและความสนุกให้หนังสือมากขึ้น หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ นอกจากคุณจะเข้าใจสมองและกลไกทางความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นแล้ว แน่นอน สิ่งสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ความสุขในชีวิตของคุณก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน

“กล้าที่จะถูกเกลียด” เขียนโดย คิชิมิ อิชิโร, โคะโกะ ฟุมิทะเกะ

ถ้าใครกำลังรู้สึกเบื่อหน่ายสังคมแห่งการทำงาน สังคมรอบข้าง เพื่อนฝูง ครอบครัว หรือกำลังโดนเอารัดเอาเปรียบอยู่ละก็ หนังสือที่จะแนะนำให้อ่านก็คงจะหนีไม่พ้นหนังสือเล่มนี้ “กล้าที่จะถูกเกลียด”

แค่อ่านชื่อหนังสือก็รู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากแค่ไหน ต้องชื่นชมนักแปล โยซุเกะ และนิพดา เขียวอุไร ที่ตั้งชื่อภาษาไทยได้น่าสนใจขนาดนี้ จากฝีมือนักเขียนญี่ปุ่น 2 คน ชิมิ อิชิโร และโคะโกะ ฟุมิทะเกะ ที่ถ่ายทอดเรื่องราววิธีคิดในการพัฒนาตนเองทางด้านจิตวิทยา จนหนังสือเล่มนี้กลายเป็น Best Seller ในร้านหนังสือเลยทีเดียว

หากจะพูดถึงหลักจิตวิทยาหลายคนอาจจะไม่ทราบว่าหลักจิตวิทยามีหลายแขนงหลายศาสตร์มาก จิตวิทยาบางแขนงก็เป็นที่ยอมรับและนิยมในวงกว้าง แต่บางแขนงก็น้อยคนนักที่จะรู้จัก หนังสือเล่มนี้ได้หยิบเรื่องราว หลักจิตวิทยาแอดเลอร์ ของ อัลเฟรด แอดเลอร์ (Alfred Adler) นักจิตวิทยาผู้ถูกยกย่องให้เป็น “บิดาแห่งการพัฒนาตนเอง” มาถ่ายทอดในรูปแบบของชายหนุ่มผู้ไม่เชื่อและไม่เข้าใจจิตวิทยาของแอดเลอร์จึงเดินทางมาสอบถามข้อเท็จจริงกับ “อาจารย์” นักปรัชญาที่เชี่ยวชาญศาสตร์นี้ ซึ่งหลักจิตวิทยานี้เป็นจิตวิทยาแนวปัจเจกบุคคล ที่สอนให้คนรู้จักพึ่งพาตนเอง รู้เท่าทันความคิดของตนเอง และสามารถแยกแยะเรื่องราวของตนเองและผู้อื่นได้

ผู้เขียนจะเล่าเรื่องราวในเชิงบทสนทนาระหว่างชายหนุ่มคนหนึ่ง กับนักปรัชญา โดยจะมีการตั้งประเด็นมาถกเถียง หาข้อโต้แย้งกัน ซึ่งทำให้เนื้อหามีความน่าสนใจและเป็นการเสนอมุมมองของจิตวิทยาที่ไม่น่าเบื่อ แถมยังมีการยกตัวอย่างเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันทำให้เข้าใจและเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น แต่คงเนื้อหาและใจความสำคัญไว้ได้อย่างครบถ้วน โดยจะพูดถึงชีวิตของคนเราที่เรามักจะไม่พัฒนาไปไกลและทุกข์ใจเพราะการยอมคนอื่น การเอาอกเอาใจผู้อื่น มองแต่ชีวิตผู้อื่น การยอมโดนเอารัดเอาเปรียบ แต่สุดท้ายความอึดอัดใจกลับมาตกอยู่ที่ตัวเราเอง มันสะท้อนถึงสังคมการทำงาน สังคมเพื่อนฝูง และแม้แต่สังคมเล็ก ๆ อย่างสังคมครอบครัว ปรัชญาของแอดเลอร์จะบอกให้เราเลือกที่จะหันมาดูแลความรู้สึกของตนเองก่อน เพื่อที่เราจะสามารถพัฒนาตัวเองให้ไปได้ไกลมากขึ้น และแน่นอนหลายครั้งการทำแบบนี้สิ่งที่อาจจะต้องแลกมา คือความอิจฉาริษยาของคนรอบข้าง ความไม่พอใจ ไม่ถูกใจใคร จึงตอบที่มาของชื่อหนังสือเล่มนี้ “กล้าที่จะถูกเกลียด”

หลายคนอาจจะคิดว่า เป็นหลักการทางความคิดที่สุดโต่งไปหรือเปล่า แต่แท้จริงแล้วหนังสือเล่มนี้กำลังสอนให้เรารักตัวเอง มองเห็นคุณค่าในตัวเอง ที่ไม่ใช่เห็นแก่ตัวหรือเบียดเบียนคนอื่น และที่สำคัญคือการที่เราไม่ยอมให้ผู้อื่นเบียดเบียนเรา หากจะเทียบกับสุภาษิตไทยที่เราคุ้นหูกันก็คือ “เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด” นั่นเอง

หากลองอ่านดู จะรู้ว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้น่ากลัวแบบชื่อหนังสือเลย และแน่นอนการยอมถูกเกลียดจากคนที่ทำไม่ดีกับกับเราก็ไม่ใช่เรื่องแย่สักเท่าไหร่

Of Mice and Men (เพื่อนยาก) เขียนโดย John Steinbeck

นวนิยายเรื่อง Of Mice and Men ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1937 เขียนโดยจอห์น สไตน์เบค นักเขียนรางวัลโนเบลชาวอเมริกัน ที่สะท้อนสังคมอเมริกันในช่วงยุคตื่นทอง หรือ California Gold Rush ที่มีข่าวลือถึงความมั่งคั่งไปด้วยทรัพยากรและแร่ธาตุในแคลิฟอร์เนีย ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากต่างเดินทางไปที่แคลิฟอร์เนียด้วยความหวังว่าจะมีชีวิตที่มั่งคั่งร่ำรวยมากขึ้น เช่นเดียวกันกับตัวละครหลักในเรื่องนี้ซึ่งก็คือ จอร์จ มิลตัน (George Milton) และ เลนนี่ สมอลล์ (Lennie Small)

จอร์จ และเลนนี่ เป็นคู่ซี้ที่บุคลิกต่างกันอย่างสุดขั้ว จอร์จ เป็นชายร่างผอมสูง มีความสุขุม ขณะที่เลนนี่เป็นรูปร่างท้วมใหญ่ มีบุคลิกลักษณะเหมือนเด็ก และเสพติดการลูบไล้สิ่งที่ฟู ๆ นุ่ม ๆ เช่น ขนกระต่าย หนู หรือเส้นผมผู้หญิง ทั้งที่มีความฝันร่วมกันว่าอยากจะมีบ้านฟาร์มและให้เลนนี่เลี้ยงกระต่ายแบบที่เขาชอบ ทั้งคู่จึงออกเดินทางไปยังแคลิฟอร์เนียเพื่อหางาน เก็บเงิน เพื่อให้ได้บ้านฟาร์มตามความฝัน ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นที่เลนนี่กำลังถูกตามล่าตัวจากกลุ่มชาวบ้านด้วยข้อหาข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งแท้ที่จริงแล้วเลนนี่เพียงแต่เห็นชุดกระโปรงที่ฟูฟ่องของเธอและจึงใช้มือสัมผัสเพราะนิสัยเสพติดนี้ของเขา ทั้งคู่ได้ลงหลักที่ไร่แห่งหนึ่งและเริ่มต้นทำงาน  ณ ไร่แห่งนี้ มีเคอร์ลลี่ (Curley) ลูกชายเจ้าของไร่ เขาเป็นชายตัวเล็กแต่ลักษณะกร่างพอสมควร เขาเป็นคนที่หึงหวงภรรยาอย่างมาก ขณะเดียวกันภรรยาของเขาก็ชอบเรียกร้องความสนใจจากหนุ่ม ๆ ในไร่เสมอ และแล้วปัญหานี้ก็ได้เกิดขึ้นกับเลนนี่จนได้ เขามีปัญหากับลูกชายเจ้าของไร่ที่เขาทำงานอยู่ ทั้งคู่เกิดทะเลาะกันขึ้นมา ด้วยขนาดรูปร่างแล้ว เลนนี่จึงชนะเกมนี้ไปอย่างง่ายดายและโดยไม่ได้ตั้งใจด้วย ในเรื่องนี้เรายังได้เจอกับครูก (Crook) คนงานผิวดำที่ที่พักของเขาถูกปลีกออกจากคนงานที่เป็นคนขาวคนอื่น ๆ ครูกจึงเป็นคนที่มีนิสัยที่ชอบแดกดัน และขับไล่คนขาวคนอื่น ๆ ที่เข้ามาในพื้นที่ของเขาซึ่งรวมถึงเลนนี่และภรรยาของเคอร์ลลี่ด้วย

เกือบตลอดทั้งเรื่อง ทั้งจอร์จและเลนนี่จะชอบคุยกันถึงเรื่องความฝันของเขา จอร์จเชื่อและพร่ำสอนเลนนี่ในเรื่องการทำงานหนักและการเก็บเงินสำหรับอนาคต อย่าใช้จ่ายแบบอยู่ไปวัน ๆ เหมือนกับคนงานคนอื่น ๆ เพราะพวกเขาแตกต่างเนื่องจากพวกเขามีความฝันขณะที่คนงานเหล่านั้นไม่มี สิ่งนี้แสดงถึงความเป็นอเมริกันดรีมที่ศรัทธาในการทำงานหนักเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างชัดเจน จากนวนิยายเรื่องนี้จะสะท้อนให้เราเห็นว่าแท้จริงแล้ว อเมริกันดรีมที่ว่า เป็นแค่สิ่งชวนเชื่อ (Propaganda) ที่สร้างขึ้นโดยรัฐและกระบวนการทางสังคมหรือเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริง ๆ กันแน่ เราจะเห็นสภาพความทุกข์ยากของผู้คนหรือปัจเจกชนในแต่ละสถานะ ทั้งชายผิวดำชนชั้นล่าง ชายผิวขาวชนชั้นล่าง ผู้หญิงชนชั้นกลาง ฯลฯ ซึ่งขอบอกเลยว่าหนังสือเล่มนี้เรียกน้ำตาจากเราไปได้  สำหรับใครที่ชอบนวนิยายหรือกำลังศึกษาสังคมอเมริกัน (ซึ่งอันที่จริงแล้วก็มีความคล้ายคลึงกับของเมืองไทยเราอยู่บ้าง) ก็อยากให้ลองอ่านนิยายเรื่อง Of Mice and Men เรื่องนี้ดูเหมือนกันนะ

 

แด่งานของฉัน แด่วันพรุ่งนี้ เขียนโดย คิมรันโด

หากถามเด็ก ๆ ว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร เกินกว่า 80-90% ต้องตอบเป็นอาชีพอย่างแน่นอน นั่นเพราะปัจจุบันนี้คนเราจะผูกความสำเร็จในชีวิตไว้กับงาน และงานก็เป็นมากกว่าอาชีพไปเสียแล้วเพราะงานยังหมายถึงคุณค่าในตัวของคนคนนั้นอีกด้วย คนที่มีหน้าที่การงานที่ได้รับการยอมรับในสังคมจะรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า ตรงกันข้าม คนที่กำลังตกงานต้องพยายามดิ้นรนหางานเพื่อให้ตนเองพ้นสภาพการว่างงานโดยเร็วเพราะนอกจากจะขาดรายได้แล้ว ยังรู้สึกว่าตนเองด้อยคุณค่าและยังถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพในสังคมอีกด้วย จึงไม่แปลกใจที่ผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่กำลังก้าวจากวัยเรียนเข้าสู่วัยทำงานจะกังวลเรื่องหน้าที่การงานของตัวเองในอนาคตหลังจบไป หากคุณหรือคนรอบข้างคุณกำลังเป็นหนึ่งในนั้นอยู่ ขอให้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดูและคุณอาจมองเห็นอะไรบางอย่าง

สำหรับบางอาชีพที่คุณคิดว่าคุณคงไม่ชอบ แต่แท้ที่จริงแล้วคุณอาจไม่ได้ไม่ชอบแต่คุณยังไม่รู้จักมันดีจริง ๆ ต่างหาก ในหนังสือ “แด่งานของฉัน แด่วันพรุ่งนี้” เขียนโดย คิมรันโด ผู้เขียนคนเดียวกันกับหนังสือเรื่อง “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” ที่ติดอันดับหนังสือขายดีทั้งในประเทศเกาหลีใต้ประเทศไทย จะเปิดโลกทัศน์ของคุณเกี่ยวกับงาน

“งาน” แท้ที่จริงแล้วคืออะไรกันแน่ แล้วคุณสามารถมีความสุขกับงานของคุณได้หรือไม่ ผู้เขียนจะเล่าเรื่องราวแบ่งปัน และสัมภาษณ์คนหนุ่มสาวที่ทำงานด้วยความรักเสมือนเป็นชีวิตและจิตวิญญาณของพวกเขา บางอาชีพคุณอาจรู้เกี่ยวกับมันแต่อาจไม่เข้าใจเกี่ยวกับมัน และบางอาชีพในบทสัมภาษณ์คุณอาจไม่เคยนึกถึงว่ามีบนโลกมาก่อนเลยก็ได้ คุณจะได้ฟังทัศนะคติและมุมมองต่องานต่าง ๆ จากคนหนุ่มสาวที่ทำอาชีพนั้น ๆ  ซึ่งคุณอาจได้ไอเดียใหม่ ๆ สำหรับอาชีพในอนาคต หรืออาจค้นพบตนเองมากขึ้น นอกจากนี้แล้ว ในหนังสือเล่มนี้ยังบอกคุณถึงการเลือกงานที่เหมาะกับเรา การเก็บเงิน การจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ที่อาจพบเจอในการทำงาน เช่น ความเครียด เวลา เรียนรู้เรื่องของกระแสโลกที่กำลังจะเปลี่ยนไป เทคโนโลยี และงานรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมา หรือแม้แต่แนะนำเว็บไซต์หางาน ซึ่งถ้าหากคุณเข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้และปรับตัวได้ คุณจะรู้สึกเหนื่อยน้อยลง และก้าวหน้าได้มากขึ้น

หนังสือเล่มนี้เป็นมากกว่าหนังสือสร้างแรงบันดาลใจเสียอีก เพราะยังเป็นหนังสือแนะนำทิศทางสำหรับคนหนุ่มสาวที่สามารถนำไปใช้ได้จริง จึงเหมาะกับคนที่กำลังหมดไฟ ท้อแท้ นักเรียน-นักศึกษาที่กังวลในอนาคตของตนเอง เป็นอีกเล่มที่อยากให้อ่านมาก เพราะหลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบ คุณจะมองการทำงานเปลี่ยนไป

 

KNOW HOW & KNOW WHY กฎพิสดาร ปรากฏการณ์พิศวง 2

ตอนเด็ก ๆ คุณเคยถูกพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่บอกอะไรแปลก ๆ ที่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง ๆ ได้บ้างหรือไม่ อย่างเช่น นอนกินอาหารระวังจะกลายเป็นงู ร้องไห้มาก ๆ ระวังตุ๊กแกมากัดเอานะ เวลาเป็นหวัดห้ามดื่มน้ำเย็นเด็ดขาด หากโดนแมงกะพรุนกัดให้ล้างด้วยโซดา และยังมีอีกสารพัดเรื่องแปลก ๆ ที่หลายคนได้พบเจอ ในบางครั้งความเชื่อกับความจริง บางครั้งต่างกันเพียงนิดเดียวจนแยกไม่ออก สิ่งหนึ่งที่แบ่งแยกความเชื่อออกจากความจริงได้ คือการพิสูจน์ สงสัยอะไรก็พิสูจน์เสียสิ !

ในหนังสือ KNOW HOW & KNOW WHY กฎพิสดาร ปรากฏการณ์พิศวง เล่ม 2 โดย ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ จะพาคุณไปไขข้อสงสัยต่าง ๆ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของตัวเลขอาถรรพ์ ที่ฟังดูแล้วยังไงก็รู้ว่ามันไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาเสียเลย แต่ในหนังสือเล่มนี้จะบอกถึงกระบวนการที่ทำให้เราเกิดความเชื่อในเรื่องตัวเลขอาถรรพ์สุดลึกลับนี้ขึ้น ว่าอะไรที่ทำให้มันอาถรรพ์ และเราจะอธิบายความมั่วนิ่มของกฎพิสดารนี้อย่างเป็นเหตุเป็นผลได้อย่างไร หรือเรื่องราวใกล้ตัวมาก ๆ อย่างเช่น การทำงานของแว่นตาสามมิติว่า เจ้าแว่นตาประหลาดนี้ทำให้เราเห็นภาพแบน ๆ มีมิติขึ้นมาได้อย่างไร หรือคุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมขนมปังทาแยมแสนอร่อยของคุณ เวลาตกมักคว่ำหน้าแยมลง มันมักคว่ำหน้าแยมลงจริง ๆ หรือคุณคิดไปเองกันแน่นะ คุณต้องไม่เชื่อแน่ ๆ ว่ามีคนพยายามหาข้อพิสูจน์เรื่องนี้อย่างเป็นจริงเป็นจังถึงขึ้นคิดสูตรคณิตศาสตร์ยาวยืดเพื่อคำนวนการตกคว่ำหน้าแยมของขนมปัง และไหนจะอาการหรือ “ปรากฏการณ์” ประหลาดอย่างซินเนสทีเซีย ที่คนที่เป็นซินเนสทีเซียจะมองเห็นตัวเลขเป็นสี หรือเมื่อฟังดนตรีแล้วรู้สึกถึงรสหวาน ซินเนสทีเซียคืออะไร เป็นอาการป่วย ความเพ้อเจ้อ หรือกลไกอะไรของสมองกันแน่ และคุณเองเป็นซินเนสทีเซียรึเปล่า

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออ่านง่าย ๆ แม้จะมีทฤษฎีต่าง ๆ มากมายแต่การอธิบายอย่างเรียบง่ายและภาษาการเขียนที่สนุกของ ดร. บัญชา จะทำให้คุณอ่านเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างเพลิดเพลินและได้รับความรู้ที่บางเรื่องในนี้เราไม่เคยแม้แต่จะเอะใจตั้งคำถามกับมันเสียด้วยซ้ำไป

หากคุณเป็นคนรักในความรู้ ขี้สงสัย ชอบอ่านหนังสือเล่น ๆ ฆ่าเวลา หนังสือ KNOW HOW & KNOW WHY กฎพิสดาร ปรากฏการณ์พิศวง 2 ถือเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะอ่านได้ทุกเพศทุกวัย ได้ความรู้ทั้งวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ด้วยความหนาเพียง 144 หน้า คุณจะพบว่านั่งอ่านไปเพลิน ๆ ก็จบเล่มเสียแล้วแถมยังได้ความรู้เอาไปคุยกับเพื่อน ๆ หรือคนอื่น ๆ สนุก ๆ อีกด้วยล่ะ