Tag Archives: ลิเวอร์พูล

VAR ต้นเหตุดราม่าระอุหลังเกมแดงเดือด

แม้เกมแดงเดือดรอบแรกประจำฤดูกาลนี้จะจบลงไปด้วยการแบ่งแต้มกันอย่างสนุก แต่หลังเกมกลับมีดราม่าที่เดือดไม่แพ้เกมในสนามทีเดียว จากจังหวะการทำประตูของทั้งสองทีมที่ต้องใช้ VAR มาช่วยตัดสิน ซึ่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลับเป็นทีมเดียวที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีชิ้นใหม่ของพรีเมียร์ลีก และทำให้ลิเวอร์พูลหยุดสถิติชนะติดต่อกันตั้งแต่เปิดฤดูกาลไว้ที่จำนวน 8 นัด

เกมนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกนำไปก่อนในครึ่งแรกจากประตูของมาร์คัส แรชฟอร์ด ก่อนจะเป็นอดัม ลัลลาน่า ที่ถูกส่งเป็นตัวสำรองจะยิงประตูตีเสมอให้กับลิเวอร์พูล โดย VAR ถูกเรียกใช้ครั้งแรกจากจังหวะการทำประตูของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวิคเตอร์ ลินเดอเลิฟเข้าปะทะกับดิว็อค โอริกี ก่อนที่บอลจะไหลไปเข้าทางนักเตะปีศาจแดงจนนำไปสู่ประตูขึ้นนำในที่สุด นักเตะลิเวอร์พูลพยายามประท้วงว่ามีการทำฟาวล์ในจังหวะดังกล่าว แต่มาร์ติน แอตกินสันเช็ค VAR แล้วยืนยันให้ประตูกับฝั่งเจ้าบ้าน หลังจากนั้นไม่นาน VAR ก็ถูกเรียกใช้อีกครั้งในจังหวะที่ซิดิโอ มาเน่ หลุดเดี่ยวแล้วยิงผ่านมือเด เคอา เข้าไป แต่ผู้รักษาประตูทีมชาติสเปนประท้วงว่ามาเน่ ทำแฮนด์บอลก่อนสับไก แอตกินสันเช็ค VAR ทันทีก่อนจะริบประตูคืนจากทีมหงส์แดง

จังหวะประตูของมาเน่ที่ถูกริบคืน จากภาพวิดีโอแสดงให้เห็นว่าบอลถูกแขนปีกทีมชาติเซเนกัลอย่างชัดเจน ซึ่งกฎใหม่ระบุไว้ว่าหากบอลโดนแขนฝ่ายรุกให้ถือว่าเป็นจังหวะแฮนด์บอลทุกกรณี จึงไม่มีคำโต้แย้งใดๆ จากเหตุการณ์นี้ ผิดกับจังหวะประตูแรกที่กลายเป็นประเด็นโต้เถียงกันอย่างรุนแรงถึงคำตัดสินของแอตกินสันที่ไม่ยอมให้เป็นการฟาวล์ของลินเดอเลิฟ

กูรูลูกหนังหลายคนมองว่าจังหวะนี้เป็นการฟาวล์แน่นอน เพราะโอริกี้โดนเตะที่น่องอย่างชัดเจน แต่กูรูฝั่งปีศาจแดงก็มองว่าจังหวะดังกล่าวไม่ได้เป็นการปะทะที่รุนแรง แถมขณะที่ล้มลงไปนอนบนพื้นสนาม โอริกี้ยังเจ็บขาคนละข้างกับที่โดนกองหลังทีมชาติสวีเดนเตะเสียอย่างนั้น จนคณะกรรมการผู้ตัดสินฟุตบอลอาชีพ (PGMOL) ต้องออกมาชี้แจงถึงจังหวะดังกล่าว โดยระบุว่า ขาของลินเดอเลิฟสัมผัสกับโอริกี้จริง แต่ความรุนแรงไม่มากพอที่จะยกเลิกประตูของแรชฟอร์ด

จากบทสรุปนี้ทำให้โลกโซเชียลพากันล้อเลียนถึงประตูที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้รับประโยชน์จาก VAR โดยตัดต่อภาพเสื้อชุดเหย้าของปีศาจแดงเป็นชื่อ VAR พร้อมหมายเลข 12 เพื่อสื่อว่า VAR คือนักเตะคนที่ 12 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นอกจากนั้นยังตัดต่อให้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นผู้ตัดสินควบคุมการทำงานของระบบ VAR ในวันนั้น ทั้งๆ ที่อดีตกุนซือปีศาจแดงนั่งเป็นหนึ่งในผู้ชมที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดด้วย

อย่างไรก็ตามเมื่อคำตัดสินออกมาเช่นนี้ ทั้งสองสโมสรก็ได้แต่ยอมรับคำตัดสินแล้วเดินหน้าแข่งขันกันต่อไป โดยผลการแข่งขันนี้ทำให้ลิเวอร์พูลชวดทำสถิติชนะรวด 9 นัดตั้งแต่เปิดฤดูกาลเทียบเท่าเชลซีที่ทำไว้เมื่อซีซั่น 2005-06 และหยุดสถิติชนะต่อเนื่องในพรีเมียร์ลีกไว้ที่ 17 นัด อดทาบสถิติสูงสุดของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ทำไว้ 18 นัด ในฤดูกาล 2017-18

เดรดิตภาพ: https://i.dailymail.co.uk/1s/2019/10/20/21/19960198-0-image-a-1_1571605189858.jpg

ซาดิโอ มาเน่ นักสู้ผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้

ฤดูกาลนี้ ซาดิโอ มาเน่ ทำประตูให้ลิเวอร์พูลไปแล้ว 10 ลูก กับอีก 5 แอสซิสต์ จาก 16 เกม นับเป็นฟอร์มอันร้อนแรงต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่เขาสามารถคว้ารางวัลรองเท้าทองคำจากการยิงประตูสูงสุดในพรีเมียร์ลีก 22 ประตู ร่วมกับโมฮาเหม็ด ซาลาห์ เพื่อนร่วมทีมหงส์แดง และปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ดาวยิงจากซุ้มปืนใหญ่ ช่วยให้ลิเวอร์พูลครองตำแหน่งจ่าฝูงอยู่ในขณะนี้ แถมยังทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่แข่งแย่งแชมป์ทีมสำคัญถึง 6 คะแนน แต่ก่อนที่มาเน่จะกลายมาเป็นสุดยอดดาวยิงอย่างทุกวันนี้ ปีกทีมชาติเซเนกัลต้องเผชิญความยากลำบากและต่อสู้อย่างหนักมาตั้งแต่วัยเด็ก

มาเน่เกิดในครอบครัวที่ยากจน ต้องอดมื้อกินมื้อและไม่มีแม้แต่เงินจะเรียนหนังสือ ชีวิตในวัยเด็กของเขาจึงมีแต่การเล่นฟุตบอลข้างถนนเพียงอย่างเดียว จนกระทั้งในปี 2002 ทีมชาติเซเนกัลได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในศึกฟุตบอลโลก และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมทะลุถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจและเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอย่างจริงจัง โดยมีเอล-ฮัดจิ ดิยุฟ เป็นนักเตะไอดอล เขาจึงผูกพันกับพรีเมียร์ลีกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มาเน่ได้รับเงินสนับสนุนจากลุงและคนในชุมชนเพื่อเดินทางเข้าร่วมการทดสอบฝีเท้ากับทีมอคาเดมี่ชื่อดังของประเทศ แม้จะมีเพียงเสื้อผ้าเก่า ๆ และรองเท้าขาด ๆ แต่เมื่อลงสนามเขาก็แสดงความสามารถให้ทุกคนได้ประจักษ์จนถูกเลือกเข้าสู่ทีม มาเน่ลงเล่นให้ทีมเจเนเรชั่น ฟุตไปกว่า 90 นัด ยิงไปถึง 131 ประตู จนฟอร์มไปเข้าตาแมวมองชาวฝรั่งเศส และพาเด็กหนุ่มชาวเซเนกัลในวัย 19 ปีข้ามทวีปมาเริ่มต้นอาชีพนักเตะอย่างเป็นทางการกับเม็ตซ์ ในลีกเอิง นับเป็นจุดเริ่มต้นเดียวกับนักเตะชื่อดังของพรีเมียร์ลีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นหลุยส์ ซาฮา, โรแบร์ ปิแรส และเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ จนปีต่อมาเขาก็ย้ายไปร่วมทีมเร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ในลีกออสเตรีย ก่อนจะย้ายมาโลดแล่นในเวทีพรีเมียร์ลีกอย่างที่เคยฝันเอาไว้กับเซาแธมป์ตัน และลิเวอร์พูลในปัจจุบัน

นอกจากจะเป็นคนสู้ชีวิตนอกสนามแล้ว ในสนามมาเน่ยังเป็นนักเตะประเภทสู้ไม่ถอยจนนาทีสุดท้ายอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนัดล่าสุดในพรีเมียร์ลีกกับแอสตัน วิลล่า มาเน่เป็นคนโหม่งประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 4 ช่วยให้ลิเวอร์พูลเก็บ 3 แต้มสำคัญได้สำเร็จ นับเป็นครั้งที่ 3 ในปี 2019 ที่เขาสามารถทำประตูได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ มากกว่านักเตะทุกคนที่เล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก

แม้จะมีผลงานที่ยอดเยี่ยมเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ทั้งแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับลิเวอร์พูล และพาทีมชาติเซเนกัลเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศศึกแอฟริกาคัพ ออฟ เนชั่นส์ แต่มาเน่กลับไม่ได้รับรางวัลส่วนตัวรายการใดเลย ไม่มีชื่อเป็นสามคนสุดท้ายที่ลุ้นรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่า รวมทั้งไม่มีชื่อติดทีมยอมเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าอีกด้วย แต่นั้นก็ไม่ทำให้มาเน่ละทิ้งความพยายาม โดยมองว่าการพลาดรางวัลต่าง ๆ กลับทำให้เขาต้องยิ่งทุ่มเทพัฒนาฝีเท้าตัวเองให้มากกว่าเดิม

เดรดิตภาพ: https://premierleague-static-files.s3.amazonaws.com/premierleague/photo/2019/02/15/2889b035-c456-43fd-8571-44260ec15e88/mane-2.jpg

ศึกแดงเดือด มหากาพย์ที่ไม่มีสิ้นสุดบนเกาะอังกฤษ

หากจะถามแฟนบอลชาวไทยว่าชื่นชอบทีมฟุตบอลต่างประเทศไหนทีมมากที่สุด แน่นอนว่าหนีไม้พ้นชื่อของ 2 ทีมยอดนิยมนั่นคือ หงส์แดง ลิเวอร์พูล และปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังจากเกาะอังกฤษ ด้วยทีมหนึ่งถือครองความยิ่งใหญ่ในยุค 80 -90 อย่างลิเวอร์พูล และอีกหนึ่งทีมผู้มาทีหลังแต่ดังกล่าวอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งยุคที่สร้างความเกรียงไกรบนโลกลูกหนังสุด ๆ ก็คือช่วงขาลงของพลพรรคหงส์แดงนั่นเอง

ทีเอ็งข้าไม่ว่า…ทีข้าเอ็งอย่าโวย การขับเคี่ยวระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่

เมื่อใดก็ตามที่ทั้ง 2 ทีมโคจรมาพบกัน เมื่อนั้นจะเรียกขานแมตช์หยุดโลกนี้ว่าศึกแดงเดือด หรือ Red War ในทันที หลายคนคงสงสัยว่าทำไมต้องเป็นสองทีมนี้ เพราะหากจะว่าไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็มีอริร่วมเมืองที่พวกเขาขนานนามว่าเพื่อบ้านน่ารำคาญอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือแม้แต่ลิเวอร์พูลก็มีเอฟเวอร์ตันที่เป็นคู่แค้นร่วมถิ่นเมอร์ซีไซด์เช่นกัน หากแต่องศาความเดือดของการแข่งขันกลับเทียบไม่ได้เมื่อทีมที่มีสีสัญลักษณ์เป็นสีแดงทั้ง 2 ทีมต้องมาเจอกันเอง

หากไม่นับเรื่องราวเก่าก่อนครั้งที่ลิเวอร์พูลเป็นเมืองท่าซึ่งชาวแมนเชสเตอร์จำเป็นต้องใช้เป็นทางผ่านเพื่อส่งออกสินค้าจนเกิดเหตุบาดหมางกันอยู่เป็นทุน สิ่งที่ทำให้ศึกแดงเดือดร้อนแรงดังเช่นทุกวันนี้คงไม่พ้นเรื่องของความสำเร็จของสโมสรที่ต่างขับเคี่ยวกันเป็นที่หนึ่งของเกาะอังกฤษมาโดยตลอด การไล่บี้เก็บแต้มในลีกไม่มีสโมสรใดที่จะมาท้าชิงความยิ่งใหญ่จากทั้งคู่ได้เลย ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ในปี 1963-1964 ส่วนแมนฯ ยูไนเต็ดนั้นได้แชมป์ในปีต่อมา และสลับสับเปลี่ยนกันไปปีต่อปี นั่นคือจุดเริ่มต้นของศึกแย่งชิงความเป็นทีมอันดับหนึ่งที่เชิดหน้าชูตาให้กับประเทศอังกฤษ และมันได้ถูกฝังไว้ในกระแสเลือดของทั้งผู้จัดการทีม นักเตะ และแฟนบอล ทุกยุคสมัยเสมอมา

หงส์ก็ดี  ผีก็ได้ วัฏจักรในโลกฟุตบอลที่มีขึ้นก็ต้องมีลง

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูล ต่างได้แชมป์ต่าง ๆ มาประดับตู้โชว์ของสโมสรมากมาย โดยทางฝั่งผีแดงนั้นสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีไปครองได้มากที่สุดถึง 20 ครั้ง มากกว่าฝั่งหงส์แดงอยู่ 2 สมัย และที่สำคัญตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจากดิวิชัน 1 มาเป็นพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลยังไม่เคยสัมผัสกับคำว่าแชมป์เลย แต่สำหรับถ้วยใบใหญ่ของยุโรปนั้น หงส์แดงก็ถือครองความยิ่งใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษ มากถึง 5 ครั้งด้วยกัน ส่วนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้เพียง 3 ครั้ง  

เรื่องของกีฬาฟุตบอลจึงเป็นเรื่องของวัฏจักรที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลเวลา เมื่อมองย้อนไปในช่วงรุ่งเรืองของลิเวอร์พูลที่ถูกขนานนามว่าเครื่องจักรสีแดงไล่ถล่มคู่แข่งในทุกรายการคว้าโทรฟีมาครองมากมาย ใครเลยจะคิดว่าใน 30 ปีต่อมาพวกเค้ากลับไม่เคยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เลย หรือแม้กระทั่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคเฟอร์กูสันที่ไร้เทียมทานจนสามารถพุ่งแซงหน้าลิเวอร์พูลเป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกได้มากครั้งที่สุด ก็เกิดสะดุดแบบหาทิศทางไปต่อไม่เจอเมื่อเฟอร์กูสันปลดระวาง และทิศทางลมก็ดูเหมือนจะพัดกลับไปหาแฟนบอลหงส์แดงให้ได้กระชุ่มกระชวยอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นจริงเสมอ คือ เมื่อถึงจุดสูงสุดก็ย่อมมีวันที่ต้องก้าวลงมาจากจุดนั้น แฟนบอลจำเป็นต้องเข้าใจวัฏจักรนี้ ดังนั้น จงเสพความสุขเมื่อทีมประสบความสำเร็จ และแชร์ความทุกข์เมื่อทีมไปไม่ถึงฝั่งพร้อมเป็นกำลังใจเพื่อผลักดันทีมให้เดินกลับไปยังจุดสูงสุดอีกครั้ง