Category Archives: ฟุตบอล

ลีโอเนล เมสซี่ นักเตะที่ไม่เคยหยุดสร้างสถิติในแชมเปี้ยนส์ลีก

ลีโอเนล เมสซี่ ซุปเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนไตน์ ยังคงเดินหน้าสร้างสถิติใหม่ให้กับตัวเองในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอยู่ตลอด ล่าสุดก็สามารถยิงประตูช่วยให้บาร์เซโลน่าบุกเอาชนะสลาเวีย ปรากไปได้ 2-1 โดยประตูที่ทำได้ในเกมนี้นอกจากจะเพิ่มสถิติการยิงประตูในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกเป็น 113 ประตูแล้ว ยังทำให้เมสซี่กลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถยิงประตูในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกติดต่อกัน 15 ฤดูกาล

นับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะกำลังหลักของบาร์เซโลน่าอย่างเต็มตัวเมื่อฤดูกาล 2005-06 เมสซี่ก็สามารถทำประตูในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ทุกฤดูกาลจนถึงปัจจุบัน โดยประตูแรกที่เขาทำได้เกิดขึ้นในเกมรอบแบ่งกลุ่มที่บาร์ซ่าเอาชนะพานาธิไนกอส ไปได้อย่างท่วมท้น 5-0 ตามมาด้วยแฮตทริกแรกในการพบกับอาร์เซน่อล เมื่อฤดูกาล 2009-10 ซึ่งนัดนั้นเมสซี่ทำคนเดียว 4 ประตูช่วยให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปได้ ก่อนจะเป็นนักเตะคนแรกที่สามารถทำแฮตทริกได้ 2 ครั้งในฤดูกาลเดียวเมื่อซีซั่น 2011-12 จากนัดเยือนวิคตอเรีย พัลเซ่น ในรอบแบ่งกลุ่ม และนัดเปิดบ้านถล่มไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเลกที่ 2 ซึ่งเมสซี่ทำได้ถึง 5 ประตูและเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้ 5 ประตูในแชมเปี้ยนส์ลีกนัดเดียว จนต่อมาจะกลายเป็นนักเตะที่ทำแฮตทริกสูงที่สุดตลอดกาลจำนวน 8 ครั้ง เทียบเท่ากับคริสเตียโน่ โรนัลโด้

จากการเป็นนักเตะที่ทำประตูได้ถล่มทลายตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เมสซี่เป็นนักเตะอายุน้อยสุดที่สามารถทำประตูในรายการฟุตบอลยุโรปถ้วยใบใหญ่ได้ครบ 15 ประตู ด้วยอายุเพียง 21 ปี กับอีก 288 วัน ก่อนจะถูกคีเลียน เอ็มบัปเป้ ศูนย์หน้าดาวรุ่งทีมชาติฝรั่งเศสทำลายสถิติลงได้เมื่อไม่นานมานี้

นอกจากนั้นประตูล่าสุดจากนัดที่พบกับสลาเวีย ปราก ยังทำให้เมสซี่ยิงประตูคู่แข่งไปแล้ว 33 สโมสร เทียบเท่ากับสถิติสูงสุดที่ทำไว้โดยราอูล กอนซาเลซ และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ จากทั้งหมด 140 สโมสรที่เคยร่วมแข่งขันในศึกแชมเปี้ยนส์ลีก

ปัจจุบันเมสซี่ยิงประตูในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกไปแล้วทั้งสิ้น 113 ประตู จากการลงสนาม 138 นัดให้กับบาร์เซโลน่าทีมเดียว เป็นรองเพียงคริสเตียโน่ โรนัลโด้คนเดียวเท่านั้น โดยศูนย์หน้าทีมชาติโปรตุเกสยิงไปถึง 127 ประตู จากการลงสนามให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และยูเวนตุส จำนวน 165 นัด แต่เมื่อเทียบจำนวนประตูต่อเกมแล้ว เมสซี่กลับมีสถิติที่ดีกว่า โดยสามารถทำได้ 0.82 ประตูต่อเกม และเมื่อเทียบกับจำนวนนาทีที่อยู่ในสนาม เมสซี่ก็ยังเหนือกว่าจากสถิติยิงประตูได้ในทุก ๆ 100 นาที ในขณะที่โรนัลโด้ต้องใช้เวลาถึง 113 นาทีถึงจะยิงได้ 1 ประตู แถมเมสซี่ยังมีอายุน้อยกว่าโรนัลโด้ถึง 2 ปี เท่ากับว่ากัปตันทีมบาร์เซโลน่ายังมีเวลาในการลงสนามเหลือมากกว่า ซึ่งจะทำให้เขามีโอกาสเอาชนะคู่แข่งคนสำคัญได้ในที่สุด เพื่อขึ้นไปยืนหนึ่งในเรื่องการยิงประตูแต่เพียงผู้เดียว

เดรดิตภาพ: https://en.as.com/en/imagenes/2019/06/24/football/1561389169_941230_noticia_normal.jpg

VAR ต้นเหตุดราม่าระอุหลังเกมแดงเดือด

แม้เกมแดงเดือดรอบแรกประจำฤดูกาลนี้จะจบลงไปด้วยการแบ่งแต้มกันอย่างสนุก แต่หลังเกมกลับมีดราม่าที่เดือดไม่แพ้เกมในสนามทีเดียว จากจังหวะการทำประตูของทั้งสองทีมที่ต้องใช้ VAR มาช่วยตัดสิน ซึ่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลับเป็นทีมเดียวที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีชิ้นใหม่ของพรีเมียร์ลีก และทำให้ลิเวอร์พูลหยุดสถิติชนะติดต่อกันตั้งแต่เปิดฤดูกาลไว้ที่จำนวน 8 นัด

เกมนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกนำไปก่อนในครึ่งแรกจากประตูของมาร์คัส แรชฟอร์ด ก่อนจะเป็นอดัม ลัลลาน่า ที่ถูกส่งเป็นตัวสำรองจะยิงประตูตีเสมอให้กับลิเวอร์พูล โดย VAR ถูกเรียกใช้ครั้งแรกจากจังหวะการทำประตูของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวิคเตอร์ ลินเดอเลิฟเข้าปะทะกับดิว็อค โอริกี ก่อนที่บอลจะไหลไปเข้าทางนักเตะปีศาจแดงจนนำไปสู่ประตูขึ้นนำในที่สุด นักเตะลิเวอร์พูลพยายามประท้วงว่ามีการทำฟาวล์ในจังหวะดังกล่าว แต่มาร์ติน แอตกินสันเช็ค VAR แล้วยืนยันให้ประตูกับฝั่งเจ้าบ้าน หลังจากนั้นไม่นาน VAR ก็ถูกเรียกใช้อีกครั้งในจังหวะที่ซิดิโอ มาเน่ หลุดเดี่ยวแล้วยิงผ่านมือเด เคอา เข้าไป แต่ผู้รักษาประตูทีมชาติสเปนประท้วงว่ามาเน่ ทำแฮนด์บอลก่อนสับไก แอตกินสันเช็ค VAR ทันทีก่อนจะริบประตูคืนจากทีมหงส์แดง

จังหวะประตูของมาเน่ที่ถูกริบคืน จากภาพวิดีโอแสดงให้เห็นว่าบอลถูกแขนปีกทีมชาติเซเนกัลอย่างชัดเจน ซึ่งกฎใหม่ระบุไว้ว่าหากบอลโดนแขนฝ่ายรุกให้ถือว่าเป็นจังหวะแฮนด์บอลทุกกรณี จึงไม่มีคำโต้แย้งใดๆ จากเหตุการณ์นี้ ผิดกับจังหวะประตูแรกที่กลายเป็นประเด็นโต้เถียงกันอย่างรุนแรงถึงคำตัดสินของแอตกินสันที่ไม่ยอมให้เป็นการฟาวล์ของลินเดอเลิฟ

กูรูลูกหนังหลายคนมองว่าจังหวะนี้เป็นการฟาวล์แน่นอน เพราะโอริกี้โดนเตะที่น่องอย่างชัดเจน แต่กูรูฝั่งปีศาจแดงก็มองว่าจังหวะดังกล่าวไม่ได้เป็นการปะทะที่รุนแรง แถมขณะที่ล้มลงไปนอนบนพื้นสนาม โอริกี้ยังเจ็บขาคนละข้างกับที่โดนกองหลังทีมชาติสวีเดนเตะเสียอย่างนั้น จนคณะกรรมการผู้ตัดสินฟุตบอลอาชีพ (PGMOL) ต้องออกมาชี้แจงถึงจังหวะดังกล่าว โดยระบุว่า ขาของลินเดอเลิฟสัมผัสกับโอริกี้จริง แต่ความรุนแรงไม่มากพอที่จะยกเลิกประตูของแรชฟอร์ด

จากบทสรุปนี้ทำให้โลกโซเชียลพากันล้อเลียนถึงประตูที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้รับประโยชน์จาก VAR โดยตัดต่อภาพเสื้อชุดเหย้าของปีศาจแดงเป็นชื่อ VAR พร้อมหมายเลข 12 เพื่อสื่อว่า VAR คือนักเตะคนที่ 12 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นอกจากนั้นยังตัดต่อให้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นผู้ตัดสินควบคุมการทำงานของระบบ VAR ในวันนั้น ทั้งๆ ที่อดีตกุนซือปีศาจแดงนั่งเป็นหนึ่งในผู้ชมที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดด้วย

อย่างไรก็ตามเมื่อคำตัดสินออกมาเช่นนี้ ทั้งสองสโมสรก็ได้แต่ยอมรับคำตัดสินแล้วเดินหน้าแข่งขันกันต่อไป โดยผลการแข่งขันนี้ทำให้ลิเวอร์พูลชวดทำสถิติชนะรวด 9 นัดตั้งแต่เปิดฤดูกาลเทียบเท่าเชลซีที่ทำไว้เมื่อซีซั่น 2005-06 และหยุดสถิติชนะต่อเนื่องในพรีเมียร์ลีกไว้ที่ 17 นัด อดทาบสถิติสูงสุดของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ทำไว้ 18 นัด ในฤดูกาล 2017-18

เดรดิตภาพ: https://i.dailymail.co.uk/1s/2019/10/20/21/19960198-0-image-a-1_1571605189858.jpg

“เออร์ลิ่ง ฮาลันด์” เครื่องจักรถล่มประตูวัยทีน

ในนาทีนี้คงไม่มีศูนย์หน้าคนไหนฟอร์มร้อนแรงไปกว่าเออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ดาวยิงของเรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ทีมแชมป์จากลีกออสเตรีย ซึ่งมีส่วนร่วมกับประตูที่ทีมทำได้ถึง 26 ลูก แบ่งเป็น 21 ประตู กับ 5 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 14 นัดทุกรายการ เหนือกว่ากองหน้าทุกคนในยุโรป ทั้งที่มีอายุเพียง 19 ปี

เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ เป็นลูกชายของอัลฟ์-อิงเก้ ฮาลันด์ มิดฟิลด์ตัวรับที่เคยค้าแข้งอยู่กับลีดส์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกพรีเมียร์ลีก เขาฉายแววการเป็นเพชฌฆาตสังหารประตูตั้งแต่อายุ 17 ปี ในสมัยที่เล่นให้กับโมลด์ ทีมดังจากลีกนอร์เวย์  โดยการปลุกปั้นให้เป็นศูนย์หน้าตัวเป้าของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา จนกลายเป็นดาวซัลโวประจำทีมจากการยิงไปถึง 20 ประตู ใน 50 เกม ก่อนจะย้ายมาค้าแข้งที่ออสเตรียจนถึงปัจจุบัน

นอกจากจะเป็นดาวซัลโวประจำสโมสรแล้ว ฮาลันด์ยังยิงประตูให้ทีมชาตินอร์เวย์ชุดเยาวชนได้ทุกระดับ โดยไฮไลต์อยู่ที่การเล่นให้กับทีมชาตินอร์เวย์ชุดเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปีในศึกฟุตบอลโลก ยู-20 ที่ประเทศโปแลนด์ เมื่อเขายิงคนเดียว 9 ประตู จากชัยชนะ 12-0 เหนือทีมชาติเยาวชนของฮอนดูรัส จนคว้าตำแหน่งดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์มาครอง ก่อนจะถูกเรียกตัวติดทีมชาตินอร์เวย์ชุดใหญ่ในเวลาต่อมา

ด้วยความสูงถึง 195 เซนติเมตร เขาจึงสามารถทำประตูได้ดีจากเท้าซ้ายข้างถนัดและลูกโหม่ง ด้วยร่างกายที่สูงใหญ่แต่มีความคล่องตัวเป็นเลิศ ทำให้เขามักถูกนำไปเปรียบเทียบกับซลาตัน อิบราฮิโมวิช ศูนย์หน้าที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในแถบสแกนดิเนเวีย ทั้งเรื่องส่วนสูงและความสามารถในการทำประตู

ในฤดูกาล 2019-20 ศูนย์หน้าวัยทีนยิงไปแล้ว 21 ประตู แบ่งเป็นในลีก 12 ประตู บอลถ้วย 3 ประตู และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 6 ประตู โดยสามารถยิงแฮตทริกได้ตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาลในศึกบอลถ้วยของออสเตรีย ตามมาด้วยการยิงแฮตทริกอีก 2 ครั้งในเกมลีกออสเตรีย ก่อนจะมาระเบิดฟอร์มสุดยอดในศึกยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก โดยยิงแฮตทริกใส่เกงค์ในนัดแรก ยิงคนเดียว 2 ประตูในที่สองกับนาโปลี ตบท้ายด้วยอีก 1 ประตูจากเกมพบลิเวอร์พูลในนัดที่สาม กลายเป็นนักเตะทีนเอจคนที่สองต่อจากคาริม เบนเซม่า ที่ยิงประตูได้ทั้ง 3 นัดแรกที่ประเดิมสนามในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และยังเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้ถึง 6 ประตูใน 3 นัดแรกของยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกอีกด้วย

ด้วยฟอร์มอันร้อนแรง จึงไม่แปลกใจที่เขาจะตกเป็นเป้าหมายของหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ดูจะมีภาษีดีที่สุดจากการมีอดีตเจ้านายเก่าคุมทีมอยู่ แถมโซลชายังถือเป็นไอดอลของเขาอีกด้วย เหตุผลเดียวที่ฮาลันด์จะปฏิเสธทีมปีศาจแดงก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นอดีตต้นสังกัดของรอย คีน นักเตะผู้ทำให้พ่อของเขาบาดเจ็บสาหัสจนต้องจบชีวิตค้าแข้งนั้นเอง

เดรดิตภาพ: https://www.rousingthekop.com/static/uploads/4/2019/09/GettyImages-1168898617.jpg

“คริส สมอลลิ่ง” จากอะไหล่สำรองเมืองผู้ดี สู่มาตรฐานพรีเมี่ยมแดนมักกะโรนี

คงไม่มีใครคาดคิดว่านักเตะที่เคยถูกยี้จากแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง “คริส สมอลลิ่ง” จะเฉิดฉายเป็นปราการหลังพันธุ์แกร่งหลังจากถูกยืมตัวไปเล่นให้กับโรม่า ในสังเวียนกัลโช่ เซเรียอา จากนักเตะส่วนเกินกลายเป็นกำลังหลักช่วยให้กับทีมหมาป่ากรุงโรมก้าวขึ้นไปรั้งอันดับ 3 บนตารางคะแนนอยู่ในขณะนี้

สมอลลิ่งถูกดึงตัวมาร่วมทีมปีศาจแดงในยุคของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยถูกคาดหวังให้เป็นตัวตายตัวแทนของริโอ เฟอร์ดินานด์ในอนาคต ซึ่งปราการหลังทีมชาติอังกฤษเปิดเผยว่าในตอนแรกเขาตั้งใจจะย้ายไปอาร์เซน่อล เพื่อโอกาสในการลงสนามที่มากกว่า แต่เมื่อฟูแล่มตอบรับข้อเสนอจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และได้มีโอกาสพูดคุยกับว่าที่เจ้านายใหม่ เขาจึงตัดสินใจเซ็นสัญญาร่วมทีมปีศาจแดงในที่สุด สมอลลิ่งถูกส่งลงสนามเพื่อทดแทนปราการหลังตัวจริงอย่างริโอ เฟอร์ดินานด์ และเนมานย่า วิดิชในยามบาดเจ็บอยู่เสมอ แต่ก็ไม่อาจโชว์ฟอร์มดีอย่างที่ถูกแฟนๆ Fun88 คาดหวังเอาไว้และก้าวขึ้นมาทดแทนปราการหลังรุ่นพี่ที่เริ่มโรยราได้เลย จนกระทั้งเซอร์อเล็กซ์ประกาศวางมือในปี 2013

แม้ในยามที่เฟอร์ดินานด์และวิดิชอำลาทีมไปในยุคของหลุยส์ ฟาน กัล ปราการหลังทีมชาติอังกฤษก็ยังไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในแผงหลังปีศาจแดงได้ จนทีมต้องเสริมทัพในตำแหน่งเดียวกันด้วยมาร์กอส โรโฮ และดาลี่ย์ บลินด์ รวมไปถึงเอริค ไบญี่ และวิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ในยุคของโชเซ่ มูรินโญ่ ก่อนที่จะต้องทุ่มเงินเป็นสถิติโลกกับแฮร์รี่ แม็กไกวร์ ในยุคของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา

สมอลลิ่งขึ้นชื่อในเรื่องการเล่นที่ผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะการทำเข้าประตูตัวเอง ถึงขนาดถูกตั้งฉายาจากแฟนบอลให้เป็นโค้ชผู้รักษาประตู เมื่อทำให้ดาบิด เด เคอา ต้องออกแรงเซฟประตูสำคัญแทบทุกนัด จนผู้รักษาประตูทีมชาติสเปนก้าวขึ้นไปเป็นนายทวารเบอร์ต้นๆ ของโลกในปัจจุบัน แม้จะมีฟอร์มที่ดีในฤดูกาล 2017-18 ซึ่งช่วยให้ปีศาจแดงเสียประตูในพรีเมียร์ลีกไปเพียง 28 ประตู อันเป็นส่วนสำคัญช่วยให้ทีมจบในอับดับรองแชมป์ แต่ในฤดูกาลถัดมาก็กลับมาคืนฟอร์มอีกครั้ง เมื่อเสียไปถึง 54 ประตูในลีก แถมยังทำเข้าประตูตัวเองไปอีก 1 ลูก จนกระทั้งแม็กไกวร์ถูกดึงตัวมาด้วยมูลค่ามหาศาล สมอลลิ่งจึงเลือกย้ายไปเล่นให้กับโรม่าด้วยสัญญายืมตัวทั้งฤดูกาลในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ ทั้งที่เพิ่งขยายสัญญาออกไปจนถึงปี 2022 ได้ไม่นาน

แต่แล้วกัลโช่ เซเรียอา กลับเปลี่ยนสมอลลิ่งให้เป็นคนละคน เมื่อการลงสนามเป็นตัวจริงตลอด 7 เกมให้โรม่า เซ็นเตอร์แบ็กทีมชาติอังกฤษเก็บคลีนชีตไปได้ถึง 3 นัด มีสถิติการเข้าปะทะชนะคู่แข่ง 100% แถมยังยิงได้ 1 ประตูในเกมที่พบกับอูดิเนเซ่ นอกจากนั้นยังไม่มีนักเตะคนไหนเลี้ยงผ่านเขาไปได้เลยแม้แต่คนเดียว โดยสถิติทั้งหมดเหนือกว่าทั้งมัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ และคาลิดู คูลิบาลี่ สองปราการหลังชื่อดังประจำลีกอิตาลี

ด้วยฟอร์มอันน่าประทับใจของสมอลลิ่งนี่เอง ทำให้มีข่าวว่าโรม่ากำลังเดินเรื่องซื้อขาดจากปีศาจแดงในราคา 18 ล้านยูโร ซึ่งหากเป็นจริงน่าจะช่วยให้อนาคตของเขามั่นคงขึ้น ยิ่งหากทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องในลีกอิตาลี ก็จะส่งผลดีต่อการกลับไปติดทีมชาติอังกฤษอีกครั้งด้วย

เดรดิตภาพ: https://d3vlf99qeg6bpx.cloudfront.net/content/uploads/2019/10/25170542/Chris-Smalling-Roma-TEAMtalk.jpg

“แทมมี่ อับราฮัม” ผู้ล้างอาถรรพ์หมายเลข 9 ของเครื่องแบบเชลซี

ตำแหน่งหมายเลข 9 ในวงการฟุตบอลจะหมายถึงศูนย์หน้าตัวเป้าประจำทีม จนเมื่อฟุตบอลก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจจึงได้มีการกำหนดหมายเลขเสื้อประจำตัวให้นักเตะแต่ละคน ซึ่งเสื้อหมายเลข 9 ก็ยังถูกสงวนไว้ให้กับผู้เล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าอยู่ เราจึงมักเห็นเจ้าของเสื้อหมายเลข 9 เป็นดาวซัลโวประจำทีมกันเป็นส่วนใหญ่ หรือไม่ก็มักจะเป็นนักเตะคนสำคัญประจำทีมเสมอ ยกเว้นทีมเชลซี ยักษ์ใหญ่แห่งกรุงลอนดอน ที่ต้องประสบอาถรรพ์หมายเลข 9 มานานหลายสิบปี

นับตั้งแต่จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ เจ้าของเสื้อหมายเลข 9 ยุคมิลเลนเนียล ได้โบกมืออำลาจากเชลซีไปเมื่อปี 2004 ซึ่งเขาถือเป็นศูนย์หน้าที่ทำประตูได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการยิงไกล ฟรีคิก รวมไปถึงการโหม่ง หลังจากนั้นเป็นต้นมาไม่ว่าใครจะเลือกใส่เครื่องแบบหมายเลข 9 ก็มักจะประสบความล้มเหลวในถิ่นเดอะ บริดจ์ทั้งสิ้น ไล่ตั้งแต่ “มาเตย่า เคซมัน” ดาวซัลโวสูงสุดของลีกดัตช์ 2 สมัยซ้อน ที่ทำได้เพียง 7 ประตู จากการลงสนาม 41 นัด จนถูกขายทอดตลาดในปีถัดมา ตามมาด้วย “เฮอร์นัน เครสโป” ที่กลับมาจากการยืมตัวไปเล่นให้กับอินเตอร์ มิลาน ก็เลือกใช้เบอร์อาถรรพ์ที่ว่างอยู่ทันที โดยยิงประตูได้เพียง 13 ประตู จาก 42 นัด ทำให้เขาถูกปล่อยยืมตัวอีกครั้งจนกระทั้งหมดสัญญา หลังจากนั้นก็เป็นนักเตะในตำแหน่งอื่นที่หยิบเอาเลขต้องคำสาปไปใช้ต่อ ได้แก่ “คาลิด บูลาห์รูซ” กองหลังชาวดัตช์ และ “สตีฟ ซิดเวลล์” มิดฟิลด์ชาวอังกฤษ ซึ่งทั้งคู่ได้สวมเครื่องแบบสิงโตน้ำเงินครามแค่เพียงปีเดียวก็ต้องระเห็จออกจากทีมไป ก่อนที่บอร์ 9 จะกลับไปสู่ตำแหน่งกองหน้าอีกครั้งโดย “ฟรังโก้ ดิ ซานโต้” ดาวรุ่งชาวอาร์เจนติน่ารับไปครอบครอง แต่เจ้าของฉายานิวมาราโดน่ากลับทำไม่ได้สักประตูตลอดระยะเวลาปีครึ่ง จนถูกปล่อยยืมตัวและโดนจำหน่ายออกจากทีมไปในที่สุด

ในทศวรรษถัดมาคำสาปหมายเลข 9 ก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อศูนย์หน้าชื่อดังหลายคนทยอยกันเอาชื่อมาทิ้งที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่ “เฟร์นันโด ตอร์เรส” ศูนย์หน้าจอมถล่มประตูของลิเวอร์พูลที่ต้องทุ่มเงินด้วยสถิติค่าตัวแพงที่สุดบนเกาะอังกฤษเพื่อแลกมา แต่ตลอด 3 ฤดูกาลครึ่งดาวยิงทีมชาติสเปนกลับทำได้เพียง 45 ประตู จาก 172 นัด แถมยังมีสถิติยิงประตูไม่ได้ 24 นัดติดต่อกันอีกด้วย เหมือนเขาจะลืมคู่มือการสังหารประตูไว้ที่แอนฟิลด์เสียอย่างนั้น ต่อจากนั้นก็เป็น “ราดาเมล ฟัลเกา” ศูนย์หน้าทีมชาติโคลัมเบีย เจ้าของฉายาเอลติเกร ซึ่งแปลว่าเสือโคร่งที่กลายเป็นเสือสิ้นลายในถ้ำสิงห์ เมื่อยิงได้เพียง 1 ประตู จาก 12 นัดทุกรายการ ตามติดมาด้วย “อัลบาโร่ โมราต้า” ที่ฟอร์มร้อนแรงในช่วงเริ่มต้น ยิงไปถึง 8 ประตูจาก 11 นัดแรก แต่หลังจากนั้นก็ยิงได้เพียงกะปริดกะปรอย รวมเบ็ดเสร็จทั้งสิ้น 24 ประตู จาก 72 เกม จนต้องขอย้ายไปสวมหมายเลข 29 แทน ซึ่งก็ไม่อาจช่วยแก้ชงได้และถูกปล่อยยืมออกจากทีมไปอีกคน จนกระทั้ง “กอนซาโล่ อิกวาอิน” ถูกยืมตัวมาแก้วิกฤตการจบสกอร์ของทีมในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2017-18 แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้มากนักเมื่อทำไปได้เพียง 5 ประตู และถูกส่งกลับต้นสังกัดไปเมื่อฤดูกาลสิ้นสุดลง

แต่ตอนนี้เหมือนคำสาปหมายเลข 9 จะถูกล้างอาถรรพ์ไปเรียบร้อยแล้วด้วยนักเตะวัย 21 ปีอย่าง “แทมมี่ อับราฮัม” ศูนย์หน้าที่ก้าวขึ้นมาจากทีมเยาวชนของเชลซีเอง หลังจากออกไปเก็บประสบการณ์ด้วยสัญญายืมตัวมาหลายปี กองหน้าชาวอังกฤษก็ถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เต็มตัวในฤดูกาลนี้ โดยยิงไปแล้ว 10 ประตู จาก 16 นัดทุกรายการ แถมยังเป็นนักเตะอายุน้อยสุดของเชลซีที่สามารถทำแฮตทริกได้ในศึกพรีเมียร์ลีก ด้วยสถิติ 21 ปี กับอีก 347 วัน นอกจากนั้นยังเป็นนักเตะอายุต่ำกว่า 22 ปีคนแรกของเชลซีที่สามารถยิงประตูได้ 3 นัดติดต่อกัน ทั้งที่ก่อนฤดูกาลใหม่จะเริ่มต้นเขายังถูกมองว่าเป็นแค่นักเตะระดับแชมเปี้ยนชิพเท่านั้น

ก่อนเริ่มฤดูกาล แฟรงค์ แลมพาร์ดได้ตัดสินใจมอบหมายเลข 9 ให้กับเขา แม้จะรู้ถึงอาถรรพ์ของหมายเลขนี้ดี แต่อับราฮัมก็เลือกที่จะรับมันไว้อย่างไม่ลังเลและลงสนามด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ จนกระทั้งสามารถยิงประตูล้างคำสาปได้ในที่สุด นับเป็นกลับมาอีกครั้งของนักเตะจอมถล่มประตูหมายเลข 9 ของเชลซีในรอบเกือบ 20 ปีเลยทีเดียว แม้แต่จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ ยังออกปากชมพร้อมกับฟันธงว่าศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษจะผลิตสกอร์ในฤดูกาลนี้ได้มากกว่า 20 ประตูอย่างแน่นอน

เดรดิตภาพ: https://media.squawka.com/images/en/2019/08/31171337/tammy-abraham-chelsea-sheffield-united-2019-940×530.jpg

เลสเตอร์ ซิตี้ กลับมาทวงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเต็มตัว

หลังจากเลสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมบังเหียนของเคลาดิโอ รานิเอรี่ หักปากกาเซียนผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองอย่างยิ่งใหญ่เมื่อฤดูกาล 2015-16 ทั้งที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้เพียงแค่ 2 ปี ทีมจิ้งจอกสยามก็ฟอร์มตกลงไปอย่างน่าใจหาย กลายเป็นทีมกลางตารางมาตลอด 3 ฤดูกาลหลัง จนต้องเปลี่ยนกุนซือกลางสนามรบไปถึง 2 คน ก่อนที่เบรนแดน ร็อดเจอร์ส จะเข้ามารับช่วงต่อและสามารถพาเลสเตอร์ ซิตี้ทะยานขึ้นสู่หัวตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน

ร็อดเจอร์ส ให้สัมภาษณ์เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมว่าต้องการเห็นลูกทีมมีความทุ่มเท และทัศนคติเชิงบวก โดยต้องการสร้างทีมที่เล่มเกมบุกอย่างดุดัน ทั้งตอนที่เป็นฝ่ายครองบอลและไม่มีบอล ซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกแสดงออกมาบนสนามในยามที่นักเตะจิ้งจอกลงทำการแข่งขัน โดยนักเตะทุกคนเล่นกันอย่างมีวินัยในเกมรับ และช่วยกันสร้างสรรค์เกมในยามเป็นฝ่ายรุก จนสามารถรั้งตำแหน่งอันดับ 3 ด้วยผลงาน 23 คะแนนจากการลงสนาม 11 นัดแรก

ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ทีมจิ้งจอกกระโจนได้สูงอยู่ในตอนนี้คงหนีไม่พ้นการกลับมาเป็นเพชฌฆาตถล่มประตูอีกครั้งของเจมี่ วาร์ดี้ ศูนย์หน้าตัวความหวังของทีมที่ยิงไปแล้ว 10 ประตู นำเดียวเป็นดาวซัลโวประจำพรีเมียร์ลีก โดยสามารถยิงแฮตทริกได้ในเกมถล่มเซาแธมป์ตัน 9-0 ซึ่งถือเป็นสถิติชัยชนะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกร่วมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เอาชนะอิปสวิชได้ด้วยสกอร์เดียวกันเมื่อปี 1995 แถมเกมนั้นอโยเซ่ เปเรซ ยังเป็นนักเตะอีกคนที่ทำแฮตทริกได้ นับเป็นครั้งที่สองของพรีเมียร์ลีกที่นักเตะ 2 คนจากทีมเดียวกันสามารถยิงแฮตทริกได้ในเกมเดียวกัน ต่อจากเจอร์เมน เพนแนนท์ และโรแบร์ ปิแรส ที่ช่วยกันยิงให้อาร์เซน่อลเอาชนะเซาแธมป์ตันไปได้ 6-1 ในปี 2003

นอกจากความยอดเยี่ยมในเกมบุกแล้ว เกมรับที่แข็งแกร่งก็มีส่วนช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในช่วงต้นฤดูกาล โดยเสียไปเพียง 8 ประตู น้อยกว่าคู่แข่งร่วมลีกทุกทีม ทั้งที่ก่อนเปิดฤดูกาลทีมต้องเสียปราการหลังคนสำคัญอย่างแฮร์รี่ แม็คไกวร์ไปให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่คักลาร์ โซยุนคู ก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นตัวตายตัวแทนได้อย่างไร้ที่ติ และจับคู่กับจอนนี่ อีแวนส์ได้อย่างลงตัว

แม้ในตอนแรกเป้าหมายของเลสเตอร์ ซิตี้จะต้องการแค่จบในอันดับท็อปโฟร์ เพื่อกลับไปเล่นในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกเท่านั้น แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้นำที่ดีรวมไปถึงนักเตะที่ลงตัวในทุกตำแหน่ง ทำให้ทีมจิ้งจอกก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในทีมท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเต็มตัวในฤดูกาลนี้ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของเบรนแดน ร็อดเจอร์สที่ได้รับโอกาสให้แก้มืออีกครั้ง หลังจากไม่อาจพาลิเวอร์พูลเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เมื่อฤดูกาล 2013-14 ทั้งที่ลูกทีมของเขายิงคู่แข่งได้เกิน 100 ประตู โดยตามหลังจ่าฝูงอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้เพียง 2 คะแนนท่านั้น

เดรดิตภาพ: https://ichef.bbci.co.uk/onesport/cps/624/cpsprodpb/46A9/production/_109298081_gettyimages-1182075871.jpg

เลฟ ยาชิน ผู้รักษาประตูคนแรกและคนเดียวที่เป็นเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์

นับตั้งแต่ “ฟร้องซ์ ฟุตบอล” นิตยสารฟุตบอลชื่อดังจากประเทศฝรั่งเศส จัดให้มีการมอบรางวัลบัลลงดอร์อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1956 นักฟุตบอลชื่อดังมายมากที่ค้าแข้งอยู่ในยุโรปได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเป็นเจ้าของรางวัลลูกบอลทองคำนี้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นนักเตะตัวรุกที่ได้รับการโหวตให้คว้ารางวัลไปครอง นานทีปีหนนักเตะในแนวรับถึงจะชนะใจกรรมการได้สักครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเตะในตำแหน่งผู้รักษาประตู ซึ่งมีเพียงคนเดียวที่ได้ถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ของบัลลงดอร์ เขาคือ “เลฟ ยาชิน” ผู้รักษาประตูของสหภาพโซเวียต ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดตลอดกาลของวงการฟุตบอล

เลฟ ยาชิน เลือกเล่นให้กับดินาโม มอสโก เพียงทีมเดียวตลอด 20 ปี เขาช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ลีกโซเวียตได้ถึง 5 สมัย และแชมป์บอลถ้วยอีก 3 ครั้ง โดยลงสนามไปทั้งสิ้น 326 เกม สามารถเก็บคลีนชีตได้ทั้งหมด 270 นัดตลอดชีวิตค้าแข้ง นอกจากนั้นยังเซฟจุดโทษไปถึง 155 ครั้ง มากกว่าผู้รักษาประตูทุกคนในโลก จนได้รับฉายาจากแฟนบอลว่า “แมงมุมดำ” อันมีที่มาจากชุดสีดำที่เขาชอบสวมใส่ลงสนามบวกกับการป้องกันประตูที่ยอดเยี่ยมประหนึ่งแมงมุมที่มี 8 แขน

ในการรับใช้ทีมชาติ ยาชินลงเล่นให้สหภาพโซเวียตทั้งสิ้น 74 เกม โดยสามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในปี 1956 ที่ประเทศออสเตรเลีย ตามด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 1960 ณ กรุงปารีส แถมยังพาทีมชาติโซเวียตทะลุถึงรอบ 8 ทีมในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 1962 จนคว้ารางวัลบัลลงดอร์ไปครองในปี 1963 ทั้งที่ไม่ใช่นักเตะจากทีมที่คว้าแชมป์ยุโรปทั้ง 2 ใบ น่าเสียดายที่เขาไม่อาจพาสหภาพโซเวียตไปถึงตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลโลกได้ แม้จะพาทีมผ่านเข้าแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ 4 ปีติดต่อกัน โดยทำดีที่สุดด้วยการคว้าอันดับที่ 4 ในปี 1966

ยาชิน เป็นผู้รักษาประตูที่มีสไตล์การเล่นที่ผาดโผน มีปฏิกิริยาที่ว่องไว ทำให้เขาออกมาตัดบอลจากลูกกลางอากาศได้อยู่เสมอ แถมยังชอบตะโกนสั่งการกองหลังตลอดทั้งเกม ถึงขนาดที่กอร์ดอน แบ็งค์ ตำนานผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์โลกยังออกปากยกย่องให้เป็นผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะยุคสมัยใด

นอกจากจะมีฝีไม้ลายมืออันเลื่องลือแล้ว ยาชินยังขึ้นชื่อในเรื่องความซื่อสัตย์ จากการลงเล่นให้ดินาโม มอสโก ทีมเดียวตลอดทั้ง 20 ปี แถมยังไม่เคยเรียกร้องขอเงินจากสโมสรแม้จะได้เงินเดือนเพียงน้อยนิดตามแบบฉบับของชาติคอมมิวนิสต์ จนกลายเป็นที่รักของแฟนบอลโซเวียตทั้งประเทศ แม้แต่ฟีฟ่าเองก็ยังให้การยอมรับ ถึงขนาดเป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดแมตช์เกียรติยศส่งท้ายอาชีพนักเตะเมื่อปี 1971 ก่อนจะตั้งรางวัล “เลฟ ยาชิน อวอร์ด” ในปี 1994 โดยมอบให้ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ยาชิน หลังจากที่เขาจากโลกนี้ไปในปี 1990 ด้วยวัย 60 ปี

แม้จะผ่านมากว่า 50 ปี แต่ก็ยังไม่มีผู้รักษาประตูคนไหนถูกเลือกให้รับรางวัลบัลลงดอร์อีกเลย ใกล้เคียงที่สุดก็เห็นจะเป็นจิอันลุยจิ บุฟฟอน ผู้รักษาประตูทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์โลก 2006 ที่คว้าได้เพียงอันดับสอง และดูท่าแล้วเลฟ ยาชิน น่าจะครองสถิตินี้ไปอีกหลายสิบปี

เดรดิตภาพ: https://cdni.rbth.com/rbthmedia/images/2018.03/article/5ab907b185600a6d9c368b9a.jpg

“คริสเตียโน่ โรนัลโด้” ชายผู้อุทิศตนเพื่อการฝึกซ้อม

แม้จะอายุจะเกือบ 35 ปีแล้ว แต่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยังคงมีสภาพร่างกายที่ฟิตไม่ต่างจากนักเตะวัยหนุ่ม จนสามารถลงเล่นให้ต้นสังกัดอย่างยูเวนตุสได้ตลอด 90 นาทีเต็มในทุกเกม แถมยังทำผลงานในสนามได้อย่างยอดเยี่ยม ผลิตสกอร์ให้ทีมม้าลายไปแล้ว 6 ประตู จากการลงเล่น 12 นัดทุกรายการ โดยสภาพร่างกายที่สมบูรณ์นี้เป็นผลมาจากการจากฝึกซ้อมอย่างหนักและการใส่ใจดูแลร่างกายอย่างดีในทุก ๆ วัน จนได้รับการชื่นชมจากคนใกล้ชิดอยู่เป็นประจำ

คาร์ลอส เตเบซ อดีตเพื่อนร่วมทีมที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นหนึ่งคนที่ยืนยันถึงการทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมของโรนัลโด้ โดยเล่าว่าโรนัลโด้จะมาถึงโรงยิมเป็นคนแรกเสมอ แม้สโมสรจะนัดซ้อมตอน 9 โมง แต่ไม่ว่าเตเบสจะมาถึงโรงยิมตอน 8 โมง หรือ 7 โมง ก็จะเห็นโรนัลโด้อยู่ที่นั้นทุกครั้ง จนครั้งหนึ่งศูนย์หน้าชาวอาร์เจนไตน์ต้องการรู้ว่าโรนัลโด้มาซ้อมกี่โมงกันแน่ จึงรีบไปถึงโรงยิมตั้งแต่ 6 โมง แต่กลับพบว่าดาวยิงโปรตุเกสก็มาถึงก่อนเขาอีกแล้ว

ในหัวของโรนัลโด้มีแต่เรื่องการฝึกซ้อมและการดูแลตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่ยามพักผ่อนอยู่กับบ้าน แพทริค เอฟร่า อดีตเพื่อนร่วมทีมอีกคนที่แมนเชสเตอร์ ยูไนต็ด รู้ซึ้งถึงเรื่องนี้ดี ครั้งหนึ่งแบ็กซ้ายทีมชาติฝรั่งเศสตอบรับคำชวนไปทานอาหารที่บ้านโรนัลโด้ เมื่อไปถึงสิ่งที่เขาพบบนโต๊ะอาหารกลับเป็นอาหารสุขภาพอย่างสลัดผักและเนื้อไก่แห้ง ๆ แทนที่จะเป็นสเต็กอย่างที่หวัง นอกจากนั้นยังเสิร์ฟเพียงน้ำเปล่า ไม่มีแม้แต่น้ำผลไม้ แถมเมื่อทานเสร็จเจ้าบ้านก็เอาลูกบอลมาโชว์ทักษะ ก่อนจะลากไปสระว่ายน้ำ ไปซาวด์หน้า และแช่อ่างจากุซซี่ ราวกลับว่าพรุ่งนี้ทั้งคู่จะลงสนามแข่งขัน จนเอฟร่าต้องเตือนทุกคนเมื่อถูกชวนไปที่บ้านโรนัลโด้ พร้อมกับบอกด้วยว่าซุเปอร์สตาร์โปรตุเกสไม่ใช่คน แต่เป็นเครื่องจักรที่ไม่มีวันหยุดพัก

เอฟร่ายังเสริมอีกว่าโรนัลโด้เป็นพวกต้องการชัยชนะตลอดเวลา โดยยกเหตุการณ์เมื่อครั้งที่โรนัลโด้แข่งตีปิงปองแพ้ให้กับริโอ เฟอร์ดินานด์ สร้างความหัวเสียให้กับโรนัลโด้อย่างมาก รุ่งขึ้นเขาสั่งซื้อโต๊ะปิงปองมาไว้ที่บ้านทันที หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ก็ไม่มีใครเอาชนะโรนัลโด้ได้อีกเลย

ถึงจะฝึกซ้อมอย่างหนักแต่โรนัลโด้ก็ไม่ลืมรักษาสภาพร่างกายให้ผ่อนคลาย โดยเขาชอบดื่มชากับน้ำผึ้ง และอาบน้ำร้อนประมาณ 20 นาทีในคืนก่อนการแข่งขัน รวมถึงการทำวารีบำบัดหลังการฝึกซ้อมและการแข่งขันอันหนักหน่วงด้วย ถึงขนาดที่ โจวานนี่ เมารี โค้ชฟิตเนสของเรอัล มาดริด ยังทึ่งกับความทุ่มเทของโรนัลโด้ โดยเล่าว่า แม้การแข่งขันจะจบดึกขนาดไหน โรนัลโด้จะเป็นคนเดียวที่ยังไม่ยอมกลับบ้าน โดยเลือกที่จะอยู่ที่ศูนย์ฝึกเพื่อทำการบำบัดสภาพร่างกายเสียก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายของเขาฟื้นตัวได้ดีหลังเกมการแข่งขัน

ทั้งหมดทั้งมวลจึงไม่น่าแปลกใจที่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ โดยคว้าแชมป์ไปถึง 31 รายการ ได้รับรางวัลส่วนตัวอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบัลลงดอร์ 5 สมัย, ผู้เล่นยอดเยี่ยมทุกลีกที่ลงทำการแข่งขัน และมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของฟีฟ่า 13 สมัยติดต่อกัน ซึ่งเกียรติยศต่าง ๆ คงไม่หยุดเพียงเท่านี้แน่ เมื่อเขายังคงแสวงหาชัยชนะอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เพื่อการเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์

เดรดิตภาพ: https://i.dailymail.co.uk/i/newpix/2018/08/01/23/4EBFCBFC00000578-6017165-image-a-38_1533161172719.jpg

ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง กับการสร้างสถิติมากมายในปี 2019

แม้จะย้ายมาร่วมทีมอาร์เซน่อลยังไม่ครบ 2 ปี แต่ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ก็สถาปนาตัวเองเป็นดาวยิงประจำทีมปืนใหญ่ไปเรียบร้อย โดยเมื่อฤดูกาลที่แล้วเขายิงในเกมลีกคนเดียวถึง 22 ประตู ครองตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกร่วมกับซาดิโอ มาเน่ และโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ แถมยังได้ชื่อว่ากองหน้าที่ยิงประตูคมที่สุดของพรีเมียร์ลีก ด้วยสถิติการเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูมากที่สุดถึง 26.20% แม้ต้องจ่ายค่าตัวสูงเป็นประวัติศาสตร์สโมสรในเวลานั้นถึง 55 ล้านปอนด์ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างมากสำหรับอาร์เซน่อล

ในฤดูกาล 2019-20 นี้ โอบาเมยองถูกส่งลงสนามทุกรายการ 13 นัด แต่ยิงไปแล้วถึง 9 ประตู แบ่งเป็นเกมยูโรป้าลีก 1 ประตู และอีก 8 ประตูเกิดขึ้นในศึกพรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะประตูชัยเหนือนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดในนัดเปิดฤดูกาล นอกจากจะเป็นประตูที่ 33 ในพรีเมียร์ลีกแล้ว ยังทำให้เขากลายเป็นนักเตะอาร์เซน่อลที่ยิงได้มากที่สุดจากการลงสนาม 50 นัดแรกของพรีเมียร์ลีก เอาชนะศูนย์หน้ารุ่นพี่อย่างเธียร์รี่ อองรี ที่ทำสถิติไว้ 30 ประตู จาก 50 นัดแรก

นอกจากนั้นในเกมที่พบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โอบาเมยองยิงตีเสมอช่วยให้ทีมปืนโตแบ่งแต้มกลับออกมาจากโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดได้สำเร็จ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกของอาร์เซน่อลที่ยิง 7 ประตู ในพรีเมียร์ลีก 7 เกมแรก นับตั้งแต่ที่เดนนิส เบิร์กแคมป์ อดีตศูนย์หน้าทีมชาติฮอลแลนด์ทำสถิตินี้ไว้เมื่อซีซั่น 1997-98

โอบาเมยองทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเดือนกันยายน ลงเล่น 4 นัด ยิง 5 ประตู จนคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกประจำเดือนไปครอง นับเป็นการรับรางวัลนี้เป็นครั้งที่สอง หลังจากที่เคยได้รับมาแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2018 ทำให้เขากลายเป็นนักเตะรายที่ 5 ของอาร์เซน่อล ที่ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกประจำเดือนมากกว่า 1 ครั้ง ต่อจากเดนนิส เบิร์กแคมป์, เธียร์รี่ อองรี, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ และเชส ฟาเบรกัส

แม้จะไม่สามารถทำประตูได้ตลอดทั้ง 3 นัดในเดือนตุลาตม แต่เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนพฤศจิกายนศูนย์หน้าทีมชาติกาบองก็กลับมายิงประตูได้ทันทีในเกมที่เสมอกับวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอส์ 1-1 ซึ่งเขาสวมปอกแขนลงสนามในฐานะกัปตันทีมเต็มตัวเป็นครั้งแรก โดยประตูขึ้นนำในนัดนี้นับเป็นประตูที่ 50 ของเขาในเครื่องแบบอาร์เซน่อล ส่งให้เขากลายเป็นนักเตะที่ยิงให้ทีมปืนใหญ่ครบ 50 ลูกเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยจำนวน 78 นัด เหนือกว่าอดีตศูนย์หน้าระดับตำนานสโมสรทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเธียร์รี่ อองรี ที่ใช้เวลา 104 นัด, เดนนิส เบิร์กแคมป์ 112 นัด และโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ 146 นัด

ด้วยฟอร์มอันร้อนแรงอย่างต่อเนื่องของโอบาเมยอง ทำให้เขามีลุ้นทำลายสถิติยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของอาร์เซน่อล ที่เธียร์รี่ อองรี หยุดสถิติเอาไว้ที่ 288 ประตูได้ในเวลาไม่กี่ปี หากเขาไม่ย้ายทีมไปเสียก่อน โดยมีข่าวว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกำลังจ้องตาเป็นมันอยู่ จนแฟนปืนใหญ่ได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนเมื่อคราวโรบิน ฟาน เพอร์ซี่อีกครั้ง

เดรดิตภาพ: https://zimbabwevoice.com/wp-content/uploads/2019/11/Aubameyang-1-644×405.jpg

ซาดิโอ มาเน่ นักสู้ผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้

ฤดูกาลนี้ ซาดิโอ มาเน่ ทำประตูให้ลิเวอร์พูลไปแล้ว 10 ลูก กับอีก 5 แอสซิสต์ จาก 16 เกม นับเป็นฟอร์มอันร้อนแรงต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่เขาสามารถคว้ารางวัลรองเท้าทองคำจากการยิงประตูสูงสุดในพรีเมียร์ลีก 22 ประตู ร่วมกับโมฮาเหม็ด ซาลาห์ เพื่อนร่วมทีมหงส์แดง และปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ดาวยิงจากซุ้มปืนใหญ่ ช่วยให้ลิเวอร์พูลครองตำแหน่งจ่าฝูงอยู่ในขณะนี้ แถมยังทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่แข่งแย่งแชมป์ทีมสำคัญถึง 6 คะแนน แต่ก่อนที่มาเน่จะกลายมาเป็นสุดยอดดาวยิงอย่างทุกวันนี้ ปีกทีมชาติเซเนกัลต้องเผชิญความยากลำบากและต่อสู้อย่างหนักมาตั้งแต่วัยเด็ก

มาเน่เกิดในครอบครัวที่ยากจน ต้องอดมื้อกินมื้อและไม่มีแม้แต่เงินจะเรียนหนังสือ ชีวิตในวัยเด็กของเขาจึงมีแต่การเล่นฟุตบอลข้างถนนเพียงอย่างเดียว จนกระทั้งในปี 2002 ทีมชาติเซเนกัลได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในศึกฟุตบอลโลก และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมทะลุถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจและเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอย่างจริงจัง โดยมีเอล-ฮัดจิ ดิยุฟ เป็นนักเตะไอดอล เขาจึงผูกพันกับพรีเมียร์ลีกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มาเน่ได้รับเงินสนับสนุนจากลุงและคนในชุมชนเพื่อเดินทางเข้าร่วมการทดสอบฝีเท้ากับทีมอคาเดมี่ชื่อดังของประเทศ แม้จะมีเพียงเสื้อผ้าเก่า ๆ และรองเท้าขาด ๆ แต่เมื่อลงสนามเขาก็แสดงความสามารถให้ทุกคนได้ประจักษ์จนถูกเลือกเข้าสู่ทีม มาเน่ลงเล่นให้ทีมเจเนเรชั่น ฟุตไปกว่า 90 นัด ยิงไปถึง 131 ประตู จนฟอร์มไปเข้าตาแมวมองชาวฝรั่งเศส และพาเด็กหนุ่มชาวเซเนกัลในวัย 19 ปีข้ามทวีปมาเริ่มต้นอาชีพนักเตะอย่างเป็นทางการกับเม็ตซ์ ในลีกเอิง นับเป็นจุดเริ่มต้นเดียวกับนักเตะชื่อดังของพรีเมียร์ลีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นหลุยส์ ซาฮา, โรแบร์ ปิแรส และเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ จนปีต่อมาเขาก็ย้ายไปร่วมทีมเร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ในลีกออสเตรีย ก่อนจะย้ายมาโลดแล่นในเวทีพรีเมียร์ลีกอย่างที่เคยฝันเอาไว้กับเซาแธมป์ตัน และลิเวอร์พูลในปัจจุบัน

นอกจากจะเป็นคนสู้ชีวิตนอกสนามแล้ว ในสนามมาเน่ยังเป็นนักเตะประเภทสู้ไม่ถอยจนนาทีสุดท้ายอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนัดล่าสุดในพรีเมียร์ลีกกับแอสตัน วิลล่า มาเน่เป็นคนโหม่งประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 4 ช่วยให้ลิเวอร์พูลเก็บ 3 แต้มสำคัญได้สำเร็จ นับเป็นครั้งที่ 3 ในปี 2019 ที่เขาสามารถทำประตูได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ มากกว่านักเตะทุกคนที่เล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก

แม้จะมีผลงานที่ยอดเยี่ยมเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ทั้งแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับลิเวอร์พูล และพาทีมชาติเซเนกัลเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศศึกแอฟริกาคัพ ออฟ เนชั่นส์ แต่มาเน่กลับไม่ได้รับรางวัลส่วนตัวรายการใดเลย ไม่มีชื่อเป็นสามคนสุดท้ายที่ลุ้นรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่า รวมทั้งไม่มีชื่อติดทีมยอมเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าอีกด้วย แต่นั้นก็ไม่ทำให้มาเน่ละทิ้งความพยายาม โดยมองว่าการพลาดรางวัลต่าง ๆ กลับทำให้เขาต้องยิ่งทุ่มเทพัฒนาฝีเท้าตัวเองให้มากกว่าเดิม

เดรดิตภาพ: https://premierleague-static-files.s3.amazonaws.com/premierleague/photo/2019/02/15/2889b035-c456-43fd-8571-44260ec15e88/mane-2.jpg