Category Archives: นวนิยาย

นวนิยายเรื่อง “คำอ้าย” อ่านความสุขเล็กๆในพื้นที่เล็กๆที่กำลังงอกงาม

“คำอ้าย” เป็นนวนิยายรางวัลวรรณกรรมบัวหลวง ประจำปี 2532 ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานอันละเมียดละไมของ    ยงค์ ยโสธร นามปากกาของประยงค์ มูลสาร ที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมบัวหลวง ประจำปี 2532 ยงค์ ยโสธร เลือกให้คำอ้ายเด็กชายตัวเล็กแกร็น หูกาง เป็นตัวแทนความรื่นรมย์อันมีชีวิตชีวาของเด็กชนบทแห่งที่ราบสูง ชีวิตเล็กๆ ที่ผูกพันอยู่กับท้องไร่ท้องนาและควายถึก จึงไม่แปลกที่เรื่องนี้จะเป็นนวนิยายที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ ที่น่าลองหยิบมาอ่านดูซักครั้ง

กลิ่นอายของความสุข ในพื้นที่แห่งความสุข

นวนิยายเรื่องคำอ้ายเป็นนวนิยายที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนเพราะเรื่องนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นไอของท้องทุ่ง และวัฒนธรรมธรรมแบบอีสาน การดำเนินเรื่องที่สอดแทรกบรรยากาศของวิถีชีวิตแบบชาวบ้านดั้งเดิม ซึ่งบางอย่างก็หายไปแล้ว บางอย่างก็ยังคงเหลือสืบลูกสืบหลาน แม้จะเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่ก็ยังคงอยู่ ทั้งประเพณีบุญบั้งไฟ ประเพณีลงข่วง ผู้สาวเข็นฝ้าย ผู้ชายเป่าแคน ยงค์ ยโสธรยังได้ฉายภาพของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเลี้ยงปากท้อง ความแห้งแล้งที่เป็นความโหดร้ายจากธรรมชาติที่เป็นบททดสอบอันยิ่งใหญ่ของชาวบ้าน ซึ่งหลายคนในหมู่บ้านวังเดือนห้าก็พยายามจะอพยพเพื่อหาที่ที่อุดมสมบูรณ์มากกว่า แต่บางคนก็เลือกที่จะอยู่เพื่อต่อสู้กับชะตากรรมกันเจ็บปวดที่บ้านเกิด การอพยพย้ายถิ่นฐานก่อนที่หน้าแล้งและความอดยากจะมาเยือน

“คำอ้าย” เรื่องราวของเด็กธรรมดาที่ไม่ธรรมดา กับความสุขที่แสนบริสุทธิ์

คำอ้ายลูกชายคนโตของครอบครัว ผู้ที่ต้องรับภาระช่วยพ่อแม่ทำงานตั้งแต่ยังเด็ก แต่ด้วยความฉลาด ช่างพูดและเป็นเด็กดีมีน้ำใจ ทำให้หลายคนหลงเสน่ห์ของคำอ้าย ในเรื่องนี้พวกเด็กๆจะได้เรียนรู้ที่จะขุดปู จับปลา ยิงกระต่าย ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่สูงสุดของเด็กอย่างคำอ้ายคือการดูแลควายอีหลอยไม่ให้มันผลัดหายและไม่ให้มันเกเรลงไปลุยข้าวในนาหรือแอบกินต้นข้าวของชาวบ้าน เพราะหากเผลอเล่นซนมากจนลืมดูควายเมื่อไหร่ นั่นหมายถึงคำอ้ายจะโดนไม้เรียวของพ่อที่คำอ้ายเคยลิ้มรสมาแล้วหลายครั้งจนถึงเมื่อเวลาที่เด็กจะต้องเข้าโรงเรียนโลกของคำอ้ายก็ดูจะมีสีสันเข้มข้นมากขึ้นถึงแม้คำอ้ายจะเป็นคนเรียนเก่งแต่เมื่อยังมีน้องอีกสามคนที่คำอ้ายผู้เป็นพี่คนโตต้องรับผิดชอบกับพ่อแม่จำต้องให้คำอ้ายต้องเรียนแค่ชั้นประถมสี่ แต่ก็ยังดีที่ได้บวชเรียน ตามวิถีและเส้นทางของเด็กผู้ชายในชนบท

นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับชะตากรรมที่เกิดจากความยากจนแร้นแค้น ทำให้ผ้าขาวได้รับการแต่งแต้มจากธรรมชาติ ทั้งที่เป็นสีสันสดใสที่เป็นของขวัญจากธรรมชาติที่มอบให้ ท้องนา ผืนป่า และผู้คนในชุมชน และรอยหมองคล้ำ ที่เกิดจากการผลัดพราก ภัยธรรมชาติ และความยากจน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผ้าขาวหมดคุณค่าไป ทำให้เห็นภาพวิถีชีวิตที่ทำให้เราทั้งสะเทือนใจและขบขันไปกับท่วงทำนองแห่งความไร้เดียงสา และขาวสะอาด แบบเด็ก ๆ หนังสือเล่มนี้หากคุณอยากสัมผัสกับความอบอวลดังกล่าวคงต้องลองไปหาอ่านกันดู แล้วคุณอาจจะหลงรักคำอ้ายเด็กชายหูกางก็เป็นได้

Fahrenheit 451 เขียนโดย Ray Bradbury

จะเกิดอะไรขึ้นหากโลกนี้ไม่มีหนังสือ ? และหนังสือทำหน้าที่อะไรมากกว่าเพื่อความบันเทิงยามว่างและให้ความรู้หรือไม่ ? และภายใต้ความรู้ของหนังสือเหล่านั้นมีสิ่งใดอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ?  ในนวนิยายเรื่อง Fahrenheit 451 เขียนโดย Ray Bradbury นักเขียนชาวอเมริกันจะจำลองสังคมที่ไร้ซึ่งหนังสือให้เราได้เห็น เรื่องนี้เป็นนวนิยายแนวดิสโทเปีย เล่าถึงสังคมที่รัฐขึ้นมามีอำนาจควบคุมสื่อทั้งหมด ประชาชนถูกจำกัดในการรับรู้ข้อมูลและความรู้ต่าง ๆ ซึ่งจะรับรู้ข้อมูลได้เพียงทางโทรทัศน์ที่ทุกรายการจะต้องถูกตรวจสอบ กลั่นกรองโดยรัฐก่อนที่จะเผยแพร่สู่ประชาชน หนังสือกลายเป็นสิ่งต้องห้ามซึ่งผู้ที่ครอบครองหนังสือถือว่ากระทำผิดกฎหมายโดยทันที

Fahrenheit 451 ถูกบรรยายโดยบุคคลที่สาม (Third-person point of view หรือ Limited Omniscient) และดำเนินเรื่องโดย กาย หรือ กีย์ มอนทาก (Guy Montag) ที่ประกอบอาชีพเป็น “นักผจญเพลิง” (Fireman) ผู้มีหน้าที่เผาทำลายหนังสือ ซึ่งต่างจากนักดับเพลิง (Fireman) ซึ่งมีหน้าที่ดับไฟตามความเข้าใจโดยทั่วไปของเรา เขาเคยรักในงานของเขามาตลอดและปฏิบัติตามข้อกฎหมายที่ห้ามครอบครองหนังสือ และเชื่อว่าหนังสือคือสิ่งเลวร้าย (อาจเทียบได้กับยาเสพติดในสังคมของเรา) จนกระทั่งเขาได้พบกับคลารีส แมคเคลแลน (Clarisse McClellan) เด็กสาวเพื่อนบ้านที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ วัยสิบเจ็ดปี ผู้ลักลอบครอบครองและหลงรักในหนังสือ คลารีสได้จุดประกายแก่นักจุดไฟอย่างเขาด้วยบทสนทนาทำความรู้จักกันสั้น ๆ และทิ้งท้ายคำถามแก่เขาก่อนแยกย้ายกลับบ้านของตนว่า “คุณมีความสุขไหมคะ ?” ซึ่งเป็นคำถามที่กาย มอนทาก ไม่เคยถามกับตนเองเลย คำถามนี้คอยวนเวียนอยู่ในความคิดของเขาจนเขานอนไม่หลับตลอดทั้งคืนวันนั้น

คลารีสเป็นเด็กสาวผู้ที่แอบครอบครองหนังสือ ซึ่งหลังจากที่กายได้รู้จักกับเธอ เขาก็มีทัศนติต่อหนังสือเปลี่ยนไป เขามองเห็นสิ่งที่รัฐคอยปกปิดมาโดยตลอดผ่านทางการบอกเล่าของหนังสือและวรรณกรรม เขาเริ่มอยู่ข้างเดียวกับคลารีสและต้องการจะเปลี่ยนแปลงสังคมที่ถูกบิดเบือนนี้ให้เป็นสังคมที่ประชาชนมีสิทธิที่จะได้รับรู้ความจริง เพราะรัฐปิดบังความจริงและจำกัดองค์ความรู้ของประชาชนเพราะกลัวเรื่องของความไม่สงบเรียบร้อย กลัวว่าจะเกิดการลุกฮือขึ้นของประชาชน เพราะวรรณกรรมช่วยให้ประชาชนสามารถตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค และสิทธิที่มนุษย์ผู้มีอิสระเสรีคนหนึ่งพึงมี ซึ่งการที่ประชาชนมีเสรีภาพนี้นอกจากความเป็นเอกภาพที่ลดลงแล้ว ยังนำมาซึ่งการสูญเสียอำนาจของรัฐให้ลดลงไปอีกด้วย

เราอ่านเรื่องนี้เป็นฉบับภาษาอังกฤษ ซึ่งขอบอกได้เลยว่า Ray Bradbury ใช้ภาษา ถ้อยคำที่สละสลวยสุด ๆ ตอนต้นเรื่องสนุก น่าอ่าน และชวนติดตามมาก ๆ แต่ตอนจบเราไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่เพราะถึงแม้จะเป็นตอนจบแบบเปิดแต่สำหรับเรายังรู้สึกธรรมดาและไม่ทิ้งความประทับใจในตอนจบไว้ให้สักเท่าไหร่ แต่โดยรวมแล้วก็ยังถือว่าเป็นหนังสือที่ดีและอยากให้คุณลองอ่านดูเช่นกัน

 

Of Mice and Men (เพื่อนยาก) เขียนโดย John Steinbeck

นวนิยายเรื่อง Of Mice and Men ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1937 เขียนโดยจอห์น สไตน์เบค นักเขียนรางวัลโนเบลชาวอเมริกัน ที่สะท้อนสังคมอเมริกันในช่วงยุคตื่นทอง หรือ California Gold Rush ที่มีข่าวลือถึงความมั่งคั่งไปด้วยทรัพยากรและแร่ธาตุในแคลิฟอร์เนีย ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากต่างเดินทางไปที่แคลิฟอร์เนียด้วยความหวังว่าจะมีชีวิตที่มั่งคั่งร่ำรวยมากขึ้น เช่นเดียวกันกับตัวละครหลักในเรื่องนี้ซึ่งก็คือ จอร์จ มิลตัน (George Milton) และ เลนนี่ สมอลล์ (Lennie Small)

จอร์จ และเลนนี่ เป็นคู่ซี้ที่บุคลิกต่างกันอย่างสุดขั้ว จอร์จ เป็นชายร่างผอมสูง มีความสุขุม ขณะที่เลนนี่เป็นรูปร่างท้วมใหญ่ มีบุคลิกลักษณะเหมือนเด็ก และเสพติดการลูบไล้สิ่งที่ฟู ๆ นุ่ม ๆ เช่น ขนกระต่าย หนู หรือเส้นผมผู้หญิง ทั้งที่มีความฝันร่วมกันว่าอยากจะมีบ้านฟาร์มและให้เลนนี่เลี้ยงกระต่ายแบบที่เขาชอบ ทั้งคู่จึงออกเดินทางไปยังแคลิฟอร์เนียเพื่อหางาน เก็บเงิน เพื่อให้ได้บ้านฟาร์มตามความฝัน ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นที่เลนนี่กำลังถูกตามล่าตัวจากกลุ่มชาวบ้านด้วยข้อหาข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งแท้ที่จริงแล้วเลนนี่เพียงแต่เห็นชุดกระโปรงที่ฟูฟ่องของเธอและจึงใช้มือสัมผัสเพราะนิสัยเสพติดนี้ของเขา ทั้งคู่ได้ลงหลักที่ไร่แห่งหนึ่งและเริ่มต้นทำงาน  ณ ไร่แห่งนี้ มีเคอร์ลลี่ (Curley) ลูกชายเจ้าของไร่ เขาเป็นชายตัวเล็กแต่ลักษณะกร่างพอสมควร เขาเป็นคนที่หึงหวงภรรยาอย่างมาก ขณะเดียวกันภรรยาของเขาก็ชอบเรียกร้องความสนใจจากหนุ่ม ๆ ในไร่เสมอ และแล้วปัญหานี้ก็ได้เกิดขึ้นกับเลนนี่จนได้ เขามีปัญหากับลูกชายเจ้าของไร่ที่เขาทำงานอยู่ ทั้งคู่เกิดทะเลาะกันขึ้นมา ด้วยขนาดรูปร่างแล้ว เลนนี่จึงชนะเกมนี้ไปอย่างง่ายดายและโดยไม่ได้ตั้งใจด้วย ในเรื่องนี้เรายังได้เจอกับครูก (Crook) คนงานผิวดำที่ที่พักของเขาถูกปลีกออกจากคนงานที่เป็นคนขาวคนอื่น ๆ ครูกจึงเป็นคนที่มีนิสัยที่ชอบแดกดัน และขับไล่คนขาวคนอื่น ๆ ที่เข้ามาในพื้นที่ของเขาซึ่งรวมถึงเลนนี่และภรรยาของเคอร์ลลี่ด้วย

เกือบตลอดทั้งเรื่อง ทั้งจอร์จและเลนนี่จะชอบคุยกันถึงเรื่องความฝันของเขา จอร์จเชื่อและพร่ำสอนเลนนี่ในเรื่องการทำงานหนักและการเก็บเงินสำหรับอนาคต อย่าใช้จ่ายแบบอยู่ไปวัน ๆ เหมือนกับคนงานคนอื่น ๆ เพราะพวกเขาแตกต่างเนื่องจากพวกเขามีความฝันขณะที่คนงานเหล่านั้นไม่มี สิ่งนี้แสดงถึงความเป็นอเมริกันดรีมที่ศรัทธาในการทำงานหนักเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างชัดเจน จากนวนิยายเรื่องนี้จะสะท้อนให้เราเห็นว่าแท้จริงแล้ว อเมริกันดรีมที่ว่า เป็นแค่สิ่งชวนเชื่อ (Propaganda) ที่สร้างขึ้นโดยรัฐและกระบวนการทางสังคมหรือเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริง ๆ กันแน่ เราจะเห็นสภาพความทุกข์ยากของผู้คนหรือปัจเจกชนในแต่ละสถานะ ทั้งชายผิวดำชนชั้นล่าง ชายผิวขาวชนชั้นล่าง ผู้หญิงชนชั้นกลาง ฯลฯ ซึ่งขอบอกเลยว่าหนังสือเล่มนี้เรียกน้ำตาจากเราไปได้  สำหรับใครที่ชอบนวนิยายหรือกำลังศึกษาสังคมอเมริกัน (ซึ่งอันที่จริงแล้วก็มีความคล้ายคลึงกับของเมืองไทยเราอยู่บ้าง) ก็อยากให้ลองอ่านนิยายเรื่อง Of Mice and Men เรื่องนี้ดูเหมือนกันนะ

 

The Witches แม่มด เขียนโดย Roald Dahl

Roald Dahl นักเขียนผู้เลื่องชื่อแห่งเกาะอังกฤษ เป็นนักเขียนวรรณกรรมสำหรับเด็กรุ่นบุกเบิกเลยก็ว่าได้ สำหรับนวนิยายแนวแฟนตาซีสำหรับเด็กเรื่อง The Withes หรือ ชื่อในฉบับแปลไทยคือ แม่มด เล่มนี้ ถือเป็นหนึ่งในงานเขียนที่ดีที่สุดของโรอัลด์ ดาห์ล ที่แม้แต่ผู้ใหญ่อ่านแล้วก็ยังรู้สึกสนุกไปด้วย

The Witches เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างหลานชายวัยเจ็ดขวบและคุณยายผู้ชอบเล่าเรื่อง ซึ่งทั้งหลานชายและคุณยายเป็นตัวละครหลักในเรื่องและชื่อทั้งสองคนก็ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในเรื่อง เรื่องเล่าของคุณยายที่หลานชอบฟังมากที่สุดคือเรื่องเกี่ยวกับแม่มด ถ้าพูดถึงแม่มดแล้วหละก็ คุณยายของเขานี่แหละที่รู้ดีเป็นที่หนึ่ง ยายบอกว่าแม่มดมักจะปลอมตัวอยู่ในคราบของผู้หญิงธรรมดา ๆ แต่พวกเธอจะชอบใส่ผ้าพันคอปกปิดหน้ากากที่บดบังหน้าตาที่แท้จริงของพวกเธอไว้ และสวมถุงมือยาวปิดบังเล็บยาวและโค้งงออันเป็นเอกลักษณ์ของตน สิ่งหนึ่งที่พึงระลึกไว้เสมอคือเราบอกอย่างผิวเผินไม่ได้ว่าใครคือแม่มด และที่สำคัญคือแม่มดนั้นเกลียดเด็กเป็นที่สุด พวกเธอมีจมูกที่รับรู้กลิ่นเด็ก ๆ ได้ไวมาก ฉะนั้นแล้วไม่ควรอาบน้ำบ่อย ๆ เพราะจะเป็นอันตรายต่อตนเอง วันหนึ่งมีกลุ่มองค์กรแม่มดที่คุณยายเรียกองค์กรนี้ว่า Grand High Witch มาจัดประชุมอยู่ที่โรงแรมไม่ไกลนี้โดยมีปาร์ตี้สุดหรูมาเป็นฉากบังหน้า ซึ่งคุณยายคาดว่ากลุ่มองค์กรนี้จะต้องจัดงานประชุมเพื่อก่อตั้งตนให้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง จึงถึงเวลาแล้วของคู่ซี้ยาย-หลานที่ต้องไปขัดขวางงานประชุมไม่ให้สำเร็จไปได้ด้วยดี ระหว่างภารกิจนี้มีเรื่องราวชุลมุนวุ่นวาย ทั้งตลกโปกฮาและมีความน่ารักปนอยู่ด้วย รับประกันความสนุกแน่นอน

นิยายแฟนตาซีสำหรับเด็กเรื่อง The Witches เรื่องนี้สามารถอ่านได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านแบบตรงตัวตามเนื้อเรื่อง หรือเราอาจมองว่าเป็นการเสียดสีสังคมและชนชั้นผู้ดีของอังกฤษที่ถูกทำให้เป็นสัญลักษณ์ผ่านทางแม่มดก็ได้ หรือไม่ เรื่องนี้อาจเป็นวิธีการสอนเด็ก ๆ อันแยบคายของโรอัลด์ ดาห์ล ที่สอนเด็ก ๆ ไม่ให้ไว้ใจคนแปลกหน้าง่าย ๆ อย่าดูคนที่ภายนอก และไม่ให้อาบน้ำบ่อย ๆ เพราะที่อังกฤษอากาศหนาวและเด็ก ๆ อาจเจ็บป่วยเอาได้

แต่ไม่ว่านิยายเรื่องนี้จะถูกตีความไว้ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่เราได้รับหลังจากการอ่านคือความรู้สึกอบอุ่นหัวใจที่เกิดจากความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างยาย-หลาน ช่องว่างระหว่างอายุไม่เป็นอุปสรรคอะไรเลย แถมยังทำให้พวกเขาได้เรียนรู้อะไรจากกันและกันได้มากอีกด้วย จึงเป็นไปอย่างที่ได้กล่าวไว้แต่แรกว่า ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถอ่านเรื่องนี้ได้ ซึ่งการรับรู้หรือสิ่งที่ได้จากเรื่องนี้ก็จะต่างกันออกไปเช่นกัน

 

Across the Universe ปริศนาข้ามจักรวาล เขียนโดย Beth Revis

หากใครชื่นชอบนวนิยายแนวดิสโทเปีย เราอยากชวนให้ลองอ่านเรื่อง Across the Universe ดู เรื่องนี้อันที่จริงแล้วผู้เขียนเขียนออกมาเป็นสามเล่มจบด้วยกัน อันได้แก่ Across the Universe, A Million Suns, และ Shades of Earth รับมาแปลไทยโดยสำนักพิมพ์นานมีบุคส์ ซึ่งน่าเสียดายที่ฉบับแปลไทยยังมีแค่เล่มแรกเท่านั้น แต่สำหรับภาษาอังกฤษต้นฉบับนั้นตีพิมพ์ออกมาครบแล้วเรียบร้อย

นวนิยายเรื่องนี้ถูกบรรยายผ่านมุมมองของตัวละครสองตัวคั่นบทสลับกัน นั่นคือเอมี่ (Amy) และ เอลเดอร์ (Elder)  เอมี่คือเด็กสาวผู้มีผมสีเพลิง เธอได้รับสิทธิขึ้นเรืออวกาศกับพ่อแม่ของเธอ ในฐานะลูกของนักวิจัย ซึ่งพ่อและแม่ของเธอได้รับคัดเลือกให้เป็นทีมนักวิจัยชาวโลกที่ต้องเดินทางไปที่ดาวเคราะห์ดวงใหม่เพื่อค้นคว้า คิดค้น และทดลองเพื่อให้มนุษยชาติดำรงชีวิตบนดาวดวงใหม่นั้นได้ เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าดาวโลกน่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน  เอมี่มีคนรักและเพื่อนที่รักอยู่บนโลกแต่เธอก็ต้องทิ้งทุกสิ่งไปและขึ้นยานกับครอบครัว ส่วนเอลเดอร์คือชายหนุ่มผู้เป็นรองผู้นำเรืออวกาศลำนี้ และเป็นคนแรก ๆ ที่เอมี่รู้จักจนกระทั่งทั้งคู่ผูกพันกันมากขึ้น ทั้งคู่คอยช่วยเหลือกันและกันจากสถานการณ์ต่าง ๆ

แต่ปัญหามีอยู่ว่า เอมี่ มนุษย์โลกที่ถูกแช่แข็งไว้ ตื่นก่อนเวลาเป็นร้อยปีด้วยการถูกละลายน้ำแข็ง มีใครบางคนบนเรืออวกาศที่ไม่พอใจเธอ อาจเป็นการสุ่ม หรือ…อาจทำเพราะพอใจเธอเป็นพิเศษ แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อย่างไรแล้วการละลายน้ำแข็งเธอแบบนี้ ทำให้เธอไม่มีโอกาสได้อยู่กับพ่อแม่ของเธออีกแล้ว นี่เท่ากับว่าเธอที่ยอมทิ้งทั้งคนรัก เพื่อน โรงเรียนและทุกอย่างบนโลกเพื่อจะตามมาอยู่กับพ่อและแม่ แต่ก็ไม่สามารถอยู่ด้วยกันกับพ่อแม่อีกแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากเธอถูกละลายน้ำแข็งด้วยฝีมือของใครบางคนนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ รวมถึงพ่อและแม่ของเธอก็เป็นไปได้ที่จะถูกละลายน้ำแข็งด้วยเช่นกัน เธอและเอลเดอร์ต้องร่วมกันรีบหาตัวคนร้ายให้เร็วที่สุดก่อนที่พ่อและแม่ของเธอจะเป็นรายต่อไป เพราะหากใครที่ถูกละลายน้ำแข็งแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือให้ออกจากตู้ได้ทันจะต้องเสียชีวิตจากการจมน้ำในตู้แช่ ซึ่งตลอดมานี้มีคนถูกละลายน้ำแข็งเรื่อย ๆ จนสถานการณ์ตกอยู่ภายใต้ความกดดัน ขอแอบบอกใบ้นิดหน่อยว่าตอนจบของเรื่องนี้อาจทำให้คุณต้องประหลาดใจ

ตลอดทั้งเรื่อง คุณจะได้เห็นระบบสังคม การปกครองบนยานที่เป็นแบบเบ็ดเสร็จ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เอมี่เคยเห็นบนโลก ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ ท้องฟ้า ฤดูกาลสำหรับการทำเกษตรกรรม  ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อพยายามเลียนแบบธรมชาติที่มีอยู่บนโลก ทุกอย่างแม้กระทั่งอากาศ คนที่เคยสัมผัสธรรมชาติของจริงอย่างเอมี่เลยรู้สึกกระอักกระอ่วนที่เห็นแบบนี้และอยากที่จะแก้ไขอะไรบางอย่างโดยเฉพาะความเฉื่อยชาและตายด้านของผู้คนบนยานซึ่งเธอมองว่ามันไม่ปกติ ซึ่งมันก็ไม่ปกติจริง ๆ

นวนิยายเรื่อง Across the Universe เป็นนวนิยายไซไฟ โรแมนติก และดิสโทเปียรวมอยู่ในเล่มเดียวกัน เป็นอีกเรื่องที่อ่านสนุก ชวนติดตาม และจะทำให้คุณวางไม่ลงเลยจริง ๆ

 

The Great Gatsby รักเธอสุดที่รัก

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยได้ชมหรือเห็นภาพยนตร์เรื่อง The Great Gatsby ที่นำมาสร้างอีกครั้งในปี 2013 นำแสดงโดย Leonardo DiCaprio นักแสดงหนุ่มทรงเสน่ห์ผู้รับบทเป็นเจย์ แก็ตสบี (Jay Gatsby) แต่คุณทราบหรือไม่ว่าภาพยนตร์ที่โด่งดังเรื่องนี้ถูกสร้างมาจากนวนิยายที่โด่งดังไม่แพ้กันเลยคือนวนิยายเรื่อง The Great Gatsby เขียนโดย F. Scott Fitzgerald นักเขียนชาวอเมริกันผู้เป็นที่กล่าวขาน ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1925 ซึ่งทันทีที่ได้ตีพิมพ์ก็ได้รับความนิยมในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่เสื่อมความนิยมและยังได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ อีกหลายภาษารวมถึงภาษาไทย นวนิยายที่ได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลายแถมยังถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์อย่างเรื่องนี้ หากมีดีแค่เนื้อเรื่องสนุกสนานชวนติดตามอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ ใช่แล้ว ! The Great Gatsby เรื่องนี้มีเนื้อหาที่สะท้อนสังคมอเมริกันและค่านิยมในเรื่อง American Dream อย่างแยบคาย

สำหรับเรื่องย่อ นวนิยายเรื่อง The Great Gatsby ถูกบรรยายโดย นิค คาราเวย์ ชายหนุ่มเพื่อนบ้านที่เพิ่งย้ายเข้ามาและเป็นลูกพี่ลูกน้องกันกับเดซี่ บูคานัน ภรรยาแสนสวยของทอม บูคานัน หนุ่มชาติตระกูลดีเช่นเดียวกันกับเธอ นิค คอยเฝ้าสังเกตแก็ตสบี ชายผู้มั่งคั่งสุดลึกลับ เจ้าของคฤหาสน์หรูหลังโต แถมยังจัดปาร์ตี้เป็นประจำแทบจะทุกสัปดาห์ ทว่ากลับไม่มีใครที่เคยรู้จักหรือแม้แต่เห็นหน้าตาของเขา มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับหนุ่มเบื้องหลังงานปาร์ตี้และคฤหาสน์สุดหรูนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาของเขา ตัวตนของเขา หรืออาชีพของเขา กระทั่งวันหนึ่งนิคได้มีโอกาสได้ไปที่งานปาร์ตี้ของแก็ตสบี้ และได้รู้จักกับเขา ชายหนุ่มผู้ลึกลับจนกระทั่งกลายมาเป็นเพื่อนกัน เขาค่อย ๆ รู้จักแก็ตสบีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนค้นพบความจริงว่าแก็ตสบีเกิดและมีช่วงชีวิตวัยเด็กอยู่ในครอบครัวที่ยากจน กระทั่งได้รู้จักกับแดน โคดี้ ชายชราผู้ร่ำรวยและเอ็นดูเขา ซึ่งแก็ตสบีได้เรียนรู้มารยาทและการวางตัวจากเขา ก่อนที่เขาจะได้มาเจอกับเดซี่ บูคานัน และตกหลุมรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ แต่แก็ตสบีก็รู้ดีในเรื่องของความแตกต่างทางชนชั้นระหว่างเขาและเธอ ทว่าความรักของเขาที่มีต่อเดซี่ได้เป็นกำลังใจสำคัญของเขาในการทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จและมั่งคั่งไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม และเขาก็มั่งคั่งขึ้นมาได้จริง ๆ น่าเหลือเชื่อจนดูเหมือนบ้า ที่เขาสร้างคฤหาสน์หลังโตบนอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบตรงข้ามกับบ้านของเดซี่เพียงเพื่อจะได้แอบมองเธอในทุก ๆ วัน จัดปาร์ตี้เป็นประจำเผื่อว่าสักวันหนึ่งเดซี่จะอยากเข้ามาร่วมงาน ทว่าเดซี่ตอนนี้กับสาวน้อยเดซี่ในตอนนั้นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะเธอได้แต่งงาน มีสามีที่มีทั้งความมั่งคั่งและชาติตระกูลเหมาะสมกับเธอเสียแล้วสิ แล้วอย่างนี้สิ่งที่แก็ตสบีพยายามมาตลอดจะสูญเปล่าหรือไม่ มาร่วมหาคำตอบได้ใน The Great Gatsby รักเธอสุดที่รัก

 

โรบินสัน ครูโซ Robinson Crusoe

สำหรับผู้ที่มีความสนใจในวรรณกรรมอังกฤษ นวนิยายเรื่อง “โรบินสัน ครูโซ” เขียนโดย แดเนียล เดโฟ (Daniel Defoe) เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หากจะไม่พูดถึงก็คงจะไม่ได้ เพราะวรรณกรรมเรื่องนี้นับเป็นนวนิยายเรื่องแรกของอังกฤษ และปัจจุบันได้รับการแปลแล้วหลายภาษาทั่วโลก สำหรับฉบับภาษาไทยของเราก็มีผู้แปลไว้หลายสำนวนอยู่เหมือนกัน เราสามารถเห็นภาพยนตร์ การ์ตูน หรือเกมต่าง ๆ ที่อ้างถึงชายผู้ติดเกาะร้างโดยลำพังเป็นเวลาหลายสิบปีจนสภาพร่างกายเปลี่ยนไป มีหนวดเคราและผมเผ้ารุงรัง ซึ่งภาพยนตร์ การ์ตูน หรือเกมเหล่านี้ก็ได้แรงบันดาลใจจากที่ไหนอื่นเป็นไม่ได้นอกจากนวนิยายสุดคลาสสิกเรื่องนี้

โรบินสัน ครูโซ เป็นเรื่องราวการผจญภัยของหนุ่มชนชั้นกลางชาวอังกฤษผู้หนึ่งที่กำลังไฟแรงและหิวกระหายความแปลกใหม่และสิ่งเร้าใจในชีวิตอย่างเช่น การล่องเรือโดยไม่สนใจเสียงห้ามปรามจากผู้เป็นพ่อแม่ เขาขออาศัยติดเรือไปกับพ่อค้าคนหนึ่งซึ่งในช่วงแรก ๆ เขากลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแม้ว่าบางครั้งอาจเจอพายุบ้าง แต่ทุกครั้งที่เขาได้ออกเรือเขาก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตเพิ่มมากขึ้น กระทั่งวันหนึ่งที่โชคไม่ดี เรือสินค้าของเขาดันล่ม ครูโซและลูกเรือคนอื่น ๆ แยกย้ายกระจายกันไปและเหลือเขาเป็นผู้รอดชีวิตอยู่เพียงคนเดียวในบรรดาลูกเรือทั้งหมด เขาได้พักอาศัยอยู่ที่เกาะที่เขาพบว่าตนอยู่ที่นั่นเมื่อฟื้นขึ้นและใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งนั้น ครูโซต้องเจออุปสรรคมากมายทั้งจากธรรมชาติ สัตว์ ความกลัวภายในจิตใจตนเอง และมนุษย์ แต่ไม่ใช่แค่สิ่งเลวร้ายเท่านั้นหรอกที่เขาประสบพบเจอเพราะสิ่งดี ๆ ก็เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างเช่น มิตรภาพของเขาและฟรายเดย์ (Friday) เด็กหนุ่มชนเผ่าพื้นเมืองที่ครูโซบังเอิญได้ช่วยชีวิตเขาจากการถูกกินจากชนเผ่าพื้นเมืองฝ่ายศัตรู ก็เป็นสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางสภาพความยากลำบากและอันตรายบนเกาะร้างแห่งนี้ ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นมุมมองและทัศนคติของครูโซที่พยายามมองทุกอย่างให้เป็นสิ่งประทานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า และหาข้อดีของมันจนทำให้เขาผ่านเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ไปได้

ตลอดทั้งเรื่องของนวนิยายเล่มนี้ถูกบรรยายในรูปแบบของการเขียนบันทึกประจำวันโดยมีโรบินสัน ครูโซเป็นผู้เล่าเรื่อง และมีความสมจริงอยู่ไม่น้อยทีเดียวราวกับเราได้อ่านไดอารี่ของเขาที่มีตัวตนอยู่จริง ๆ เพราะแม้กระทั่งว่าหมึกปากกาที่ใช้เขียนใกล้จะหมดลงและผู้เขียนมีวิธีแก้ปัญหามันอย่างไรก็ถูกบรรยายเอาไว้ด้วยเช่นกัน

หากคุณเป็นผู้ชื่นชอบนวนิยายแนวผจญภัยที่สมจริง สนใจงานวรรณกรรมตะวันตกเก่า ๆ  หรือกำลังมีความท้อแท้ใจ นวนิยายเรื่อง โรบินสัน ครูโซ เป็นอีกเรื่องที่จะต้องทำให้คุณประทับใจ และเก็บไว้อยู่ในรายการหนังสือเล่มโปรดในดวงใจของคุณอย่างแน่นอน