Category Archives: จิตวิทยา

“ขโมยสมองไอน์สไตน์” หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณเป็นไอน์สไตน์เวอร์ชั่น 4.0

คุณคิดว่าไอน์สไตน์เคยโง่ไหม?  คงไม่เคยมีใครคิดถามคำถามนี้ด้วยซ้ำ เพราะทุกคนคนคงรู้จักไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ทฤษฎีชื่อดัง จะเคยเป็นคนที่ไม่รู้อะไรได้อย่างไร แต่ในหนังสือเล่มนี้มีบอกไว้ว่า เขาป่วยเป็นภาวะบกพร่องทางด้านการอ่าน นั่นทำให้เขาไร้ความสามารถในด้านนี้ ไม่เหมือนกับเด็กทั่วไป เขาจึงต้องใช้วิธีอื่นในการจำสิ่งต่าง ๆ แทน เขาฝึกฝนในสิ่งที่เขาสามารถทำได้ จนใคร ๆ ก็ต่างเรียกเขาว่า “อัจฉริยะ” เพราะเขาได้เริ่มทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ และสิ่งนั้นยังเป็นผลดีกับตัวเขาและคนอื่นอีกด้วย

คุณอาจตั้งคำถามว่า คนที่เป็นอัจฉริยะเขาเป็นมาตั้งแต่เกิดหรือเปล่า? แต่ถ้าลองคิดอีกคำถามคือ คนเหล่านี้เขาเกิดมามีบางส่วนในร่างกายบกพร่องหรือเปล่า เขาถึงไม่เหมือนคนอื่น? แล้วทำไมเขาจึงเป็นอัจฉริยะได้ล่ะ ทั้งที่เขาก็บกพร่องอยู่ แล้วเหตุใดคนที่มีครบ 32 เช่นคนทั่วไปอย่างเราจะเป็นอัจฉริยะไม่ได้? ถ้าคุณมองลึกลงไปอีกนิด คุณจะเห็นว่า คนที่เขาบกพร่องเขาพยายามทำสิ่งต่าง ๆ แค่ไหน เช่น คนตาบอด เขาบกพร่องทางสายตา แต่ก็ยังพยายามพัฒนาความสามารถส่วนอื่น แล้วเท่าที่เห็นคนส่วนใหญ่ชอบถามกันว่า ทำไมคนตาบอดแต่ละคนเก่งจัง? เก่งกว่าคนปกติอีก นั่นสิ คำถามแบบนี้มีอยู่ทั่วไปในหมู่คนทั่วไป แต่คนที่เขาบกพร่องไม่ว่าจะด้านไหน เขาจะไม่ค่อยถาม แต่เขาจะทำ ทำสิ่งที่ทำให้ตัวเองพัฒนามากขึ้น ด้วยความที่เขาคิดว่า บกพร่องแค่ส่วนนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้  หรือจะฝึกฝนอะไรไม่ได้

น่าแปลกที่ปัญหาของคนทั่วไปหลายคน คือ ไม่ยอมฝึกฝน ทั้งที่ตัวเองสามารถทำได้ดีกว่าคนที่บกพร่องทุกอย่าง มาถึงตรงนี้ รู้แล้วใช่ไหม ว่าไอน์สไตน์ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ เขาเกิดมาบกพร่อง แต่ก็เลือกที่จะฝึกฝนตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาคล้ายกับสิ่งที่คนทั่วไปทำได้มากที่สุด และสิ่งที่เขาทำมันกลับแหวกแนวสุด ๆ ไปเลย เขาทำสิ่งที่ตอนแรกคนคิดว่าเขาบ้า เพราะมันแตกต่างจากคนอื่น แต่ก็ยังยืนยันที่จะทำมันต่อไป จนประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับ

เอาล่ะ หนังสือเล่มนี้นอกจากจะบอกเรื่องคิดแบบไอน์สไตน์แล้ว ยังบอกถึงเรื่องราวของ “สมอง” วิธีและกลไกการทำงานของสมองคน ที่แต่ละคนจะถนัดที่จะเรียนรู้ในแบบที่ต่างกันออกไป การกระตุ้นจินตนาการด้วยกิจกรรมในชีวิตประจำวัน การจดจำคำศัพท์ด้วยภาพ การเคลื่อนไหวลูกตา การกินอาหารที่เพิ่มประสิทธิภาพให้สมอง 100 เปอร์เซ็นต์ การเรียนแบบที่เหมาะสมกับเรา และเคล็ดลับต่างๆเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ที่เชื่อว่าหลายคนอาจยังไม่รู้

หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณสามารถใช้สมองได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม หรือไม่คุณอาจกลายเป็นอัจฉริยะอีกคนไปเลยก็ได้ เพราะขนาดคนที่เกิดมาไม่สมบูรณ์เขายังทำได้ คุณคนปกติที่เกิดมาสมบูรณ์ย่อมทำได้ดีกว่าแน่นอน เพราะทุกอย่างมันไม่ได้เกี่ยวหรอกว่าคุณจะเกิดมาเป็นอย่างไร มันสำคัญที่ “คุณตั้งใจจะเป็นแบบไหน” ต่างหาก

 

 “พูดให้น้อยเข้าไว้ โต้แย้งกับใครก็ชนะ” เอาชนะใจคนอื่นด้วยการไม่พูด

คุณเคยอยากจะชนะใครด้วยคำพูดบ้างไหม? แต่หลายครั้งต่อหลายครั้งแค่คำพูด หรือแม้กระทั่งคุณมีหลักฐานมาพิสูจน์แล้วก็ตาม คนบางคนก็ยังยืนยันที่จะไม่ฟังคุณอยู่ดี มันเป็นเพราะอะไรกันแน่นะ? ซึ่งบางทีคุณก็ยกแม่น้ำทั้งห้ามาแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผล

หนังสือ “พูดให้น้อยเข้าไว้ โต้แย้งกับใครก็ชนะ” เขียนโดย โจนาธาน แฮร์ริ่ง ทนายความชื่อดังจากสหราชอาณาจัดร จะมาบอกสาเหตุ เหตุผลที่คนไม่ยอมฟัง พร้อมด้วยเทคนิควิธีที่จะแก้ปัญหาให้คุณได้ โดยที่คุณไม่ต้องหงุดหงิด โมโห หรือน้อยใจที่คนไม่ฟังคุณอีกต่อไป เทคนิคที่ว่าก็คือ “การพูดให้น้อยลง” คุณอาจไม่คิดว่า การพูดให้น้อยลงมันจะได้ผลเหรอ? ถ้าพูดน้อยลงเขาก็จะไม่เข้าใจสิ่งที่มันยังเป็นปัญหาอยู่น่ะสิ? และถ้าพูดน้อยลงเราก็เป็นผู้แพ้น่ะสิ?  ซึ่งที่จริงแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องชักแม่น้ำทั้งห้า คุณก็สามารถชนะอีกฝ่ายได้ โดยที่ไม่ต้องมีความขัดแย้งใดใดเกิดขึ้นหลังจากนั้นเลยล่ะ ด้วยวิธีการที่คุณอาจคาดไม่ถึง

หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน เนื้อหาส่วนที่ 1 คือ กฎแห่งการโต้แย้ง จะมีกฎให้ทำความเข้าใจอยู่สิบข้อด้วยกัน ตั้งแต่การเตรียมพร้อม การตั้งรับ จนถึงการรักษามิตรภาพ และส่วนที่ 2 เกี่ยวกับสถานการณ์ที่มักจะนำไปสู่การโต้แย้ง ไม่ว่าจะสถานการณ์กับคนที่คุณรัก พ่อ แม่ ลูก คนที่ทำงาน และวิธีที่จะเป็นผู้ชนะที่ดีที่จะได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

คนหลายคนบนโลกใบนี้เวลามีข้อโต้แย้งก็พร้อมที่จะปะทะ และอีกหลายคนก็ชอบที่จะหลีกเลี่ยงเสียมากกว่า เพื่อให้เรื่องมันจบเสียที แต่การปะทะหรือการหลีกเลี่ยงนั้นให้ผลคล้ายกันคือ มันจะทำให้ทั้งสองฝ่ายคับข้องใจ และหงุดหงิดได้ เพราะพอยังไม่เข้าใจกันเหตุการณ์มาจบกันเสียง่าย ๆ หรือต่างคนต่างอารมณ์ร้อน และบางทีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายต่างยกเหตุผลขึ้นมาอ้างด้วยความอยากเอาชนะ และย้ำคำซ้ำไปมาอีก และนี่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ตามมาเลยทีเดียว

หนังสือเล่มนี้ได้ยกตัวอย่างแต่ละหัวข้อได้อย่างชัดเจนเข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่างบทสนทนาที่ทั้งใช้ได้ผลและไม่ได้ผลในการสนทนาครั้งนั้นอีกด้วย ในหลาย ๆ ตัวอย่างอาจเป็นเรื่องใกล้ตัวคุณ แบบที่คุณไม่เคยสังเกตว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำคุณอยู่แล้ว และเชื่อว่าหลาย ๆ คนรู้สึกว่ามันเป็นความเคยชิน จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เป็นภัยใกล้ตัวและเห็นกันอย่างต่อเนื่อง คือปัญหาในครอบครัว ที่คนในบ้านมักทะเลาะกันด้วยวาจาที่รุนแรง ถึงแม้จะโกรธกัน ปาข้าวของใส่กัน ตามด้วยหายโกรธกันด้วยเวลาที่ผ่านไป และกลับมาวนลูปเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็นความเคยชิน สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลย

คนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากปัญหาในครอบครัวคือ ลูก ๆ อย่างที่รู้กันว่า วัยเด็ก จะจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีที่สุด เล่นเปียโน การเต้น การขับร้อง หรือทักษะอะไรก็ตาม ช่วงที่เรียนรู้ได้ดีที่สุดก็คือช่วงนี้แหละ แล้วนับประสาอะไรกับพ่อแม่มีปัญหากัน เด็กอาจจะจำไม่ได้นะว่าพ่อแม่พูดเรื่องอะไรกัน แต่สิ่งที่เขาจำได้ คือความรู้สึก ยิ่งมีปัญหา ความรู้สึกก็ยิ่งสะสมทวีคูณ พอเด็กโตมา สภาพจิตใจเขาคงไม่ดีนัก ดังนั้นพ่อแม่บางคนอยากให้ลูกเป็นคนดี แต่ดันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี และก็อยากหาทางออกแต่ก็ไม่รู้ต้องทำอย่างไร เพราะสิ่งที่ตนทำมันติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว เลยทำได้เพียงยอมรับในสิ่งที่ตนเป็น แม้กระทั่งนิสัยอยากเคยชินกับการเอาชนะกับคนที่คุณรัก คนที่ทำงาน หรือคนรอบข้างคุณก็ตาม ก็เป็นผลเสียตามมาทั้งนั้น

เมื่อคุณอ่านเล่มนี้ไปทีละหน้า ๆ แล้วลองปรับใช้กับชีวิตตัวเองตามหัวข้อที่ได้อ่าน ด้วยเนื้อหาที่ไม่ซับซ้อนและเข้าใจได้ทันที จึงปรับใช้ได้ไม่ยาก แค่คุณเชื่อว่าคุณทำได้ก็เท่านั้น การอดทนทำในสิ่งที่ไม่เคยชินและเป็นสิ่งที่ดี หลังจากคุณได้เอาวิธีเหล่านี้ไปใช้ คุณจะได้ชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเก่า บางทีอาจดีกว่ามากเลยก็ได้ คนรอบข้างจะยอมรับคุณแบบเต็มใจมากขึ้น ภรรยา สามี ลูก คนในครอบครัว เพื่อน คนที่ทำงาน คนรู้จัก เขาจะได้เห็นคุณในมุมมองใหม่ ๆ ที่พวกเขาจะรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อได้อยู่ใกล้และคุยกับคุณ รวมทั้งตัวคุณเองก็จะอยู่กับตัวเองแบบสบายใจเช่นกัน

 

 “เราจะเป็นคนที่คิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร” หนังสือดี ๆ สำหรับแนวทางการใช้ชีวิต

หนังสือเล่มนี้เขียนโดยนักจุดประกายชาวเกาหลี “โอซังจิน” ที่เริ่มทำงานกับซัมซุงในแผนกคิดค้นนวัตกรรมการ

สื่อสาร และเขายังจัดอบรมเกี่ยวกับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้พนักงานซัมซุงเป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี หลังจากนั้น

เขาก็มีไอเดียที่อยากจะพัฒนาความคิดให้บุคคลทั่วไปอีกด้วย และเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดหนังสือที่น่าสนใจเล่มนี้ขึ้นมา เป็น

หนังสือที่เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย และที่สำคัญ ทุกระดับสมองเลย ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะโฟกัสไปที่ “คนธรรมดา” ก็เถอะ

ผู้เขียนคงอยากแสดงให้เห็นว่า การมีความคิดสร้างสรรค์มันอาจจะไม่ได้ง่าย แต่มันก็ไม่ยากเกินความสามารถของสมองมนุษย์

อย่างที่ในเล่มได้กล่าวประโยคสำคัญไว้ว่า “เพราะทุกอย่างมันเริ่มมากจาก  Passion (มีไฟ) + Positive Thinking (คิดบวก)”

นี่เอง ผู้เขียนทำให้คนทุกคนที่ปรารถนาจะเป็นคนที่ “ไบร์ท” ก็คือเป็นคนเก่ง มีความสุข และ ประสบความสำเร็จ แม้แต่คนที่ไม่

เก่งเลยก็ตาม แล้วคุณล่ะ คิดว่าคนที่ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีหัวคิดสร้างสรรค์เลย เขาจะมีความคิดที่สร้างสรรค์ได้ไหมนะ?

คนคิดสร้างสรรค์เป็นยังไง? เราคงจะสร้างความคิดสร้างสรรค์ได้ยากกว่า หากเราไม่รู้ว่า คนที่เขาคิดสร้างสรรค์กันเนี่ย มีคุณลักษณะหรือมีนิสัยเป็นอย่างไร รวมทั้งพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของพวกเขาด้วย นั่นเป็นสาเหตุให้ต้องมีหัวข้อนี้เกิดขึ้น

ในหนังสือเป็นหัวข้อแรกกันเลยทีเดียว เพราะผู้เขียนได้บอกคุณสมบัติที่คนคิดสร้างสรรค์ควรจะมีนั่นก็คือ “4Cs”

ประกอบไปด้วย Compassion รู้สึกร่วม, Conception เข้าใจภาพรวม, Controversy สื่อสารสร้างสรรค์, และ

Commitment มุ่งมั่นทุ่มเท ที่ได้อธิบายคุณลักษณะแต่ละอย่างด้วยว่าเป็นอย่างไร

ในแต่ละหน้าของเล่มนี้ จะมีคำพูดที่น่าสนใจมาก ๆ ของผู้เขียน ทำให้คนอ่านอ่านได้ไม่เบื่อเลย เพราะมีการนำ

คำหนึ่งมาพูดเน้นเพื่อให้ผู้อ่านตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และได้ถามคำถามเพื่อเตือนสติผู้คนเป็นช่วง ๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น

“ทุกวันนี้คุณทำอะไรอยู่ และทำไปทำไม” ผู้เขียนจะพูดต่อถึงการเห็นคุณค่าและความหมายของสิ่งที่กำลังทำอยู่ เพื่อให้ผู้อ่าน

มองไปข้างหน้าถึงการมองเห็นความสำเร็จที่ชัดเจนของตน รวมถึงหน้าตาของความสำเร็จนั้นด้วย

ผู้เขียนยังอ้างถึงแนวคิดที่สร้างสรรค์ ไอเดียใหม่ ๆ หรือความคิดที่มีคนเอามาต่อยอด ทั้งเป็นภาพ

ไอเดียสร้างสรรค์ที่ยกมาจากวีดีโอโฆษณาในหลาย ๆ บริษัทหลาย ๆ องค์กร จากบุคคลที่ประสบความสำเร็จ และจาก

แบรนด์ต่าง ๆ โฆษณาหลาย ๆ ตัวผู้อ่านอาจเคยเห็นผ่านตามาแล้วบ้าง และอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับมันมาก เพราะเห็นเป็นแค่

โฆษณาก็เท่านั้น แต่ โอซังจิน ผู้เขียน เขาพยายามที่จะบอกเล่าประสบการณ์การทำงานของแต่ละโฆษณา ว่าพวกเขาผ่านอะไรมา

บ้างอย่างกระชับและเข้าใจได้ง่าย

บอกได้เลยว่า โฆษณาดีดีที่คุณเห็น ทั้งความยาวแค่ไม่กี่นาที ทั้งที่คุณอาจคิดว่า แค่คนคิด คิดเก่ง สร้างสรรค์ดี

แล้วทุกอย่างจะราบรื่นเหมือนทางเดินที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันไม่ง่ายแบบนั้น งานทุกงานต้องร่าง ต้องถ่าย ต้องตัดต่อ ต้อง

ปรับแก้ แถมกว่าจะเสร็จทุกอย่างอาจใช้เวลารวมกันเป็นปีก็เป็นได้ นั่นแสดงให้เห็นว่า แม้แต่คนที่เก่งที่สุด ยังต้องใช้ความ

พยามยามไม่น้อยกว่าคนที่ไม่เก่งเลย โดยเฉพาะถ้าทำในองค์กร เขาต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น ต้องปรับตัว และร่วมมือกันทำทุก

อย่างให้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้เช่นกัน

หนังสือเล่มนี้สามารถทำให้ผู้อ่านคิดไอเดียทุกอย่างได้โลดแล่นมากขึ้น ได้ทำการทดสอบความกล้าให้ตัวเอง ได้เห็น

ความท้าทาย การคิดนอกกรอบ จุดพลิกผันที่ทุกคนต้องเจอ การตัดสินใจลงมือทำทันที ความอดทน เป้าหมายที่เห็นได้ชัดเจน

และความน่าสนใจของการกระตือรือร้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด ที่จะทำให้สุดท้ายแล้ว ผู้อ่านจะสามารถเป็นคนที่ “ไบร์ท” ขึ้นมาได้

ดั่งเช่นที่หนังสือได้กล่าวไว้อย่างแน่นอน